posttoday

เพื่อไทยตั้งหลักใหม่ยกเครื่องพรรค แพทองธารนำสู้ศึกเลือกตั้ง69

06 ตุลาคม 2568

หลังหล่นจากอำนาจและ “ชินวัตร” ต้องเผชิญคดี พรรคเพื่อไทยตั้งหลักใหม่ภายใต้แนวคิด “ยกเครื่องเพื่อไทย–ยกเครื่องประเทศไทย” เดินหน้าฟื้นศรัทธา ท่ามกลางแรงสั่นสะเทือนและกระแสย้ายขั้ว

KEY

POINTS

  • พรรคเพื่อไทยอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน หลังสูญเสียอำนาจและผู้นำทางจิตวิญญาณ
  • แพทองธารเดินหน้ายกเครื่องพรรค เปิดเวทีใหญ่ “ยกเครื่องเพื่อไทย ยกเครื่องประเทศไทย”
  • กระแสย้ายขั้วและศึกเลือกตั้งซ่อมเป็นบททดสอบความอยู่รอดของพรรคในระยะยาว

จากอำนาจสู่การตั้งหลัก — แผลการเมืองที่ต้องเยียวยา

พรรคเพื่อไทย (พท.) กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประวัติศาสตร์การเมือง หลังจากตกจากสถานะพรรคแกนนำรัฐบาลกลับสู่การเป็นฝ่ายค้านเต็มตัว ภายหลังการจัดตั้งรัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ผู้นำพรรคภูมิใจไทย ภาพลักษณ์ “พรรคเพื่อไทย” ที่เคยครองความนิยมสูงสุดถูกท้าทายอย่างหนักจากทั้งคู่แข่งทางการเมืองและแรงกดดันภายในพรรคเอง

การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ยิ่งสะเทือนเมื่อ ทักษิณ ชินวัตร ผู้นำจิตวิญญาณของพรรค ต้องกลับเข้าเรือนจำในคดีค้างเก่าที่สะสมมาตั้งแต่ยุคแรกของเขา ส่งผลให้ขั้วอำนาจภายในพรรคเกิดความสั่นคลอน แกนนำหลายคนต้องหันกลับไป “เลียแผล” และทบทวนกลยุทธ์ใหม่ว่าจะรักษาฐานเสียงอย่างไรในสภาพที่สูญเสียทั้งอำนาจรัฐและผู้นำทางจิตใจในเวลาเดียวกัน

แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งเคยเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 31 แม้จะหลุดจากตำแหน่งและไม่สามารถกลับมาดำรงตำแหน่งบริหารได้จากปมคดีคลิปเสียงกับ “ฮุน เซน” ผู้นำกัมพูชา แต่ยังคงยืนหยัดเป็นผู้นำทางสัญลักษณ์ของพรรค พยายามฟื้นขวัญกำลังใจให้ทีมงานและมวลชนผ่านถ้อยคำ “เราจะไม่ยอมแพ้ และเพื่อไทยจะกลับมาสู้ใหม่อีกครั้ง”

แม้ในช่วงที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยจะถูกมองว่า “หมดไฟ” และสูญเสียความเป็นพรรคมวลชนในหลายพื้นที่ แต่การกลับมาของแพทองธารในฐานะหัวหน้าพรรคที่เริ่มลงมือ “ยกเครื่องพรรค” ถือเป็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ซึ่งหลายฝ่ายจับตาว่าจะสามารถกู้ความศรัทธาและความนิยมที่เคยมีได้หรือไม่

“ยกเครื่องเพื่อไทย–ยกเครื่องประเทศไทย” สัญญาณเริ่มต้นศึกเลือกตั้ง

หลังผ่านช่วงตั้งหลัก พรรคเพื่อไทยประกาศ “เร่งเครื่องเต็มสูบ” เตรียมพร้อมสู่การเลือกตั้งใหญ่ที่จะมาถึงในปี 2569 โดยเตรียมจัดอีเวนต์ทางการเมืองใหญ่ในวันที่ 7 ตุลาคม ภายใต้ชื่อ “ยกเครื่องเพื่อไทย ยกเครื่องประเทศไทย” ที่สำนักงานใหญ่พรรค ซึ่งจะกลายเป็นเวทีเปิดวิสัยทัศน์และเช็กศักยภาพกำลังพลทางการเมือง

กิจกรรมนี้มีสามเป้าหมายหลักที่พรรควางไว้ คือ

  • แสดงความพร้อมในการสู้ศึกเลือกตั้ง ภายใต้กรอบเวลาที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ประกาศจะยุบสภาไม่เกิน 31 มกราคม 2569
  • เปิดตัวผู้สมัคร ส.ส. ชุดแรก และทีมยุทธศาสตร์เลือกตั้ง เพื่อคัดกรองผู้สมัครที่มีศักยภาพสูง
  • ตรวจแถวและเช็กชื่อ ส.ส. เดิม เพื่อดูว่าใครจะอยู่หรือไปกับพรรค ถือเป็น “บททดสอบความภักดี” ของสมาชิกที่ต้องแสดงตัวต่อหน้าหัวหน้าพรรค

แพทองธาร ชินวัตร จะขึ้นกล่าวปาฐกถาภายใต้คอนเซปต์ “ยกเครื่องเพื่อไทย เพื่อยกเครื่องประเทศไทย” โดยสื่อสารว่า พรรคต้องกลับมาทำหน้าที่เป็น “เครื่องจักรทางการเมือง” ที่พร้อมขับเคลื่อนประเทศให้เดินหน้าอีกครั้ง และย้ำว่า “แม้เราจะหยุดชั่วคราว แต่ภารกิจของเพื่อไทยยังไม่จบ”

ขณะเดียวกัน นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรค ยอมรับว่า พรรคได้รับคำวิจารณ์รอบด้าน ทั้งจากประชาชนและสมาชิกเอง แต่พรรคจะใช้เสียงสะท้อนเหล่านี้เป็น “เชื้อไฟแห่งการเรียนรู้” เพื่อปรับโครงสร้างการทำงานใหม่ทั้งหมด ทั้งในเชิงนโยบาย การสื่อสาร และระบบภายใน เพื่อให้เพื่อไทยยังเป็น “พรรคของประชาชน” ไม่ใช่พรรคของบุคคล

วิสัยทัศน์ที่แพทองธารนำเสนอผ่านคลิปยาว 23 นาที เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม สะท้อนท่าทีมุ่งมั่น ยืนยันว่า หากพรรคเพื่อไทยได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง จะเดินหน้าผลักดันนโยบายต่อเนื่องที่เคยริเริ่มไว้ เช่น

  • รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย
  • โครงการบ้านเพื่อคนไทย
  • ทุนเพื่อเด็กทุกระดับ
  • แผนพัฒนาการท่องเที่ยวไทยอย่างยั่งยืน

ทั้งหมดถูกจัดวางให้เป็น “โครงการสัญลักษณ์” ที่สื่อถึงความต่อเนื่องของภารกิจเพื่อไทย แม้ต้องยืนในจุดฝ่ายค้านก็ตาม

พายุในบ้าน – สัญญาณเลือดไหลและความไม่แน่นอน

ในขณะที่พรรคพยายามสร้างภาพใหม่ ความท้าทายภายในกลับเพิ่มขึ้นทุกวัน เมื่อกระแสข่าวการ “ตีจาก” ของ สส. หลายกลุ่มเริ่มชัดขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่มองว่า การอยู่กับเพื่อไทยในฐานะฝ่ายค้านต่อไปอาจไม่ตอบโจทย์อนาคตทางการเมือง

สัญญาณย้ายขั้ว เริ่มปรากฏจาก สส. บางกลุ่มที่เปิดดีลลับกับพรรคคู่แข่ง เช่น พรรคภูมิใจไทย หรือพรรคประชาชน ซึ่งคาดว่าจะเป็นสองพรรคหลักในการจัดตั้งรัฐบาลชุดต่อไปหลังเลือกตั้ง หลายคนมองว่า “การย้ายพรรค” ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนขั้ว แต่คือการย้ายข้างของอำนาจรัฐ

หนึ่งในกลุ่มที่ถูกจับตาคือ กลุ่มแป้งมันโคราช ของ วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ที่เคยกวาดเก้าอี้ ส.ส. โคราช ได้ถึง 12 จาก 16 ที่นั่ง มีข่าวลือว่ากลุ่มนี้อาจย้ายไปอยู่กับพรรคใหม่ในนาม “ไทรวมพลัง” ซึ่งเป็นพรรคในเครือข่ายตระกูลหวังศุภกิจโกศลเอง อย่างไรก็ดี สายสัมพันธ์ระหว่าง แพทองธาร กับ สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล ลูกสาวของวีรศักดิ์ อาจเป็นปัจจัยยื้อให้กลุ่มนี้ยังอยู่กับเพื่อไทยต่อ

ส่วน กลุ่ม ส.ส. 8 คน ที่นำโดย ศักดา วิเชียร์ศิลป์ ซึ่งเคยโหวตสนับสนุนนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี ถูกมองว่าเป็นเพียง “หัวก๊อก” ที่เปิดให้เลือดไหลออกจากพรรค หลังเหตุการณ์นี้มีแนวโน้มว่ากลุ่มอื่นๆ อาจทยอยออกตามมา

ท่ามกลางกระแสสับสนนี้ การปรากฏตัวของ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภรรยาของทักษิณ ที่เดินทางมาพบปะสมาชิกพรรคเพื่อไทย พร้อมกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “สู้ๆ นะคะ” กลายเป็นโมเมนต์สำคัญที่ทำให้สมาชิกพรรคหลายคนถึงกับน้ำตาซึม และกล่าวตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “เราจะสู้ไปด้วยกัน” สัญลักษณ์นี้สะท้อนว่าตระกูลชินวัตรยังไม่ถอดใจจากสนามการเมือง

สมรภูมิเลือกตั้งซ่อม–บททดสอบความอยู่รอดของพรรค

พรรคเพื่อไทยต้องเผชิญ “ศึกซ้อนศึก” ทั้งในสนามเลือกตั้งซ่อมและภายในพรรคเอง หลังเพิ่งพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งซ่อมจังหวัดศรีสะเกษให้แก่พรรคภูมิใจไทย ความพ่ายแพ้นี้ทำให้ภาพลักษณ์ของพรรคในฐานะ “ฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง” ถูกตั้งคำถาม และยิ่งเพิ่มความกดดันต่อการเลือกตั้งซ่อม กาญจนบุรี เขต 4 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 19 ตุลาคม

หากเพื่อไทยแพ้อีกครั้งต่อภูมิใจไทยเป็นครั้งที่สองติดต่อกัน จะถือเป็น “แรงสั่นสะเทือนทางการเมือง” ที่อาจเร่งให้เกิดการแตกตัวภายในพรรคเร็วกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะในหมู่ สส. ที่เริ่มลังเลต่ออนาคตทางการเมืองของตนเอง

ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยในสนามนี้คือ ลูกสาวของศักดา วิเชียร์ศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ย้ายไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทย ถือเป็นศึกที่มีนัยทางการเมืองสูง เพราะไม่เพียงเป็นการวัดพลังระหว่างสองพรรคใหญ่ แต่ยังเป็นการพิสูจน์ว่า “ฐานมวลชนเพื่อไทย” จะยังยืนหยัดได้เพียงใดเมื่อเผชิญแรงดึงดูดจากฝ่ายตรงข้าม

ในมุมของพรรคภูมิใจไทย การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ถูกมองว่าเป็น “บททดสอบความมั่นคงของรัฐบาลอนุทิน” หากสามารถคว้าชัยได้สองเขตติดต่อกัน จะตอกย้ำภาพลักษณ์รัฐบาลเฉพาะกิจที่แข็งแรงและมีแนวโน้มกลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหลังการยุบสภา

ขณะที่พรรคเพื่อไทยต้องดิ้นรนรักษา “ศักดิ์ศรีพรรคใหญ่” ไม่ให้ถูกลดบทบาทเหลือเพียงพรรคฝ่ายค้านถาวร การเลือกตั้งซ่อมจึงเปรียบเหมือน “สนามรบย่อย” ที่จะสะท้อนทิศทางอนาคตของพรรคทั้งหมด

พรรคเพื่อไทยกำลังอยู่ในจุดหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่าง “การฟื้นคืนชีพ” กับ “การสูญพันธุ์ทางการเมือง” การนำของแพทองธารจะเป็นตัวชี้ชะตาว่าเพื่อไทยจะกลับมาเป็นพรรคแห่งความหวัง หรือกลายเป็นอดีตทางการเมืองของตระกูลชินวัตร

ข่าวล่าสุด

ในหลวง-ราชินี เสด็จฯ เปิดซีเกมส์ 2025 การันตีสุดยิ่งใหญ่