ณัฐพงษ์ชี้เพื่อไทยฝ่ายค้านอิสระ ทำกลไกตรวจสอบไม่สมบูรณ์
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ย้ำฝ่ายค้านยังมีพลังตรวจสอบเต็มที่ แม้เพื่อไทยเลือกเป็นฝ่ายค้านอิสระ แต่กลไกอาจไม่สมบูรณ์ ปัดดีล 44 ส.ส.ก้าวไกล
KEY
POINTS
- นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้าน ชี้ว่าการที่พรรคเพื่อไทยประกาศเป็น "ฝ่ายค้านอิสระ" ทำให้กลไกการตรวจสอบรัฐบาลในระบบรัฐสภาไม่สมบูรณ์ 100%
- แม้พรรคประชาชนจะยังทำหน้าที่ตรวจสอบอย่างเข้มแข็ง แต่การขาดเอกภาพของฝ่ายค้านโดยรวมอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการลงมติที่สำคัญเพื่อถ่วงดุลรัฐบาล
- สถานะฝ่ายค้านอิสระของเพื่อไทย ทำให้เกิดคำถามถึงพลังการตรวจสอบของฝ่ายค้านโดยรวมว่าจะสามารถทำงานอย่างมีเอกภาพได้หรือไม่ในสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน
การเมืองไทยกำลังเผชิญภาวะเปลี่ยนผ่านที่ซับซ้อน หลังการประกาศของพรรคเพื่อไทยว่าจะวางบทบาทเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ” ท่ามกลางรัฐบาลเสียงข้างน้อยภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า “พลังการตรวจสอบ” ของฝ่ายค้านจะลดทอนลงหรือไม่ และฝ่ายค้านจะสามารถทำงานอย่างมีเอกภาพท่ามกลางความต่างทางกลยุทธ์ได้เพียงใด
จุดยืนของผู้นำฝ่ายค้าน
เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568 ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้ออกมาแสดงท่าทีชัดเจนว่า แม้เพื่อไทยเลือกจะไม่เข้าร่วมกลไกฝ่ายค้านแบบเต็มรูปแบบ แต่ “อำนาจการตรวจสอบรัฐบาลไม่ลดลง” ทว่าอาจทำให้ “กลไกตรวจสอบไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์” เนื่องจากระบบรัฐสภาต้องการความร่วมมือและเอกภาพของฝ่ายค้านในการลงมติเป็นสำคัญ
ณัฐพงษ์เน้นว่า พรรคประชาชนในฐานะฝ่ายค้านเสียงข้างมากยังพร้อมทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง โดยยึดการลงมติและการอภิปรายเป็นเครื่องมือหลัก ทั้งยังเชื่อว่ารัฐบาลอนุทินไม่สามารถหลีกเลี่ยงแรงกดดันจากสภาได้หากขาดความโปร่งใส
ความสัมพันธ์กับภูมิใจไทยและกรอบ MOA
ประเด็นที่น่าจับตาคือ “บันทึกความเข้าใจ (MOA)” ระหว่างพรรคประชาชนกับภูมิใจไทย ในการร่วมกันผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายณัฐพงษ์แสดงความเชื่อมั่นว่า นายอนุทินมีความจริงใจในการเดินหน้า แต่ย้ำว่า “การแถลงนโยบายต่อรัฐสภาควรมีไทม์ไลน์ที่ชัดเจน” มิฉะนั้นฝ่ายค้านพร้อมตั้งคำถามอย่างเข้มข้น
การส่งสัญญาณดังกล่าวสะท้อนถึงยุทธศาสตร์ “จับตา–บีบให้ทำจริง” มากกว่าการเผชิญหน้าตรง ๆ ของพรรคประชาชน ซึ่งอาจช่วยรักษาสมดุลระหว่างการตรวจสอบกับการเปิดโอกาสให้รัฐบาลเดินหน้า
ความกังวลเรื่องคะแนนนิยมและการเลือกตั้ง
สื่อหลายสำนัก รวมถึงองค์กรภาคประชาชนอย่างไอลอว์ ประเมินว่าหากภูมิใจไทยรักษาสัญญาและยุบสภาตามกำหนด 4 เดือน พรรคประชาชนอาจเสียเปรียบด้านคะแนนนิยม เพราะประชาชนอาจมองภูมิใจไทยในเชิงบวกมากขึ้น ทว่า ณัฐพงษ์กลับมองต่างออกไป โดยชี้ว่า “ยิ่งพรรคการเมืองรักษาสัญญา ก็ยิ่งสร้างบรรยากาศทางการเมืองที่ดี” และท้ายที่สุดประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุดในการเลือกตั้ง
ท่าทีนี้สะท้อนความมั่นใจในฐานเสียงของพรรคประชาชน และพยายามสื่อว่าการเมืองไม่ควรเล่นด้วยความหวาดระแวง แต่ต้องแข่งขันกันด้วยการทำงานจริง
ปมร้อน 44 ส.ส. อดีตก้าวไกล
อีกหนึ่งประเด็นที่ถูกหยิบยกคือ “คดี 44 ส.ส. อดีตก้าวไกล” ที่เคยร่วมลงชื่อเสนอแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งถูกมองว่าอาจกลายเป็นเงื่อนไขกดดันพรรคประชาชน นายณัฐพงษ์ปฏิเสธอย่างชัดเจนว่า “ไม่มีดีลลับ” และย้ำว่ากระบวนการทางกฎหมายยังดำเนินไปตามปกติ พร้อมแสดงความเชื่อมั่นในทีมกฎหมายของพรรคว่าจะสามารถปกป้อง ส.ส. ได้
อย่างไรก็ตาม คดีดังกล่าวยังเป็นความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง เพราะหากมีผลกระทบต่อจำนวนที่นั่งในสภา อาจทำให้พรรคประชาชนเสียความสามารถในการต่อรองในสภาได้ในอนาคต
บริบทภายในพรรคและความเสี่ยงข้างหน้า
ภายในพรรคประชาชนเองก็มีการถกเถียงอย่างต่อเนื่อง โดยนายกรุณพล เทียนสุวรรณ รองโฆษกพรรค เคยให้ความเห็นเรื่อง “ทางหนีทีไล่” และความเสี่ยงต่าง ๆ แม้จะเป็นความเห็นส่วนตัว แต่ก็สะท้อนแรงกดดันที่พรรคเผชิญอยู่
ณัฐพงษ์พยายามประคองภาพรวมด้วยการเน้นว่า จุดร่วมของสมาชิกพรรคคือ “ทำให้การเมืองไทยดีขึ้น” และไม่ปล่อยให้ความเห็นแตกต่างเล็กน้อยมาสั่นคลอนทิศทางหลัก ขณะเดียวกัน พรรคก็ต้องเตรียมพร้อมต่อความเสี่ยงทางคดีและความเปลี่ยนแปลงของสมการเสียงในสภา
วิเคราะห์แนวโน้ม
การตรวจสอบรัฐบาล – ฝ่ายค้านยังมีศักยภาพสูง แต่การที่เพื่อไทยเป็นฝ่ายค้านอิสระทำให้กลไกไม่สมบูรณ์เต็มที่ การลงมติอาจแตกแถวได้ง่ายขึ้น
การเมืองเชิงเลือกตั้ง – หากภูมิใจไทยรักษาสัญญา อาจสร้างภาพลักษณ์บวกและดึงคะแนนเสียงจากพรรคประชาชน แต่ในทางกลับกัน หากผิดสัญญา พรรคประชาชนก็จะได้แต้มต่อทันที
ปมคดี 44 ส.ส. – ถือเป็นระเบิดเวลาที่อาจสั่นคลอนเสถียรภาพของพรรคประชาชน หากศาลหรือองค์กรอิสระมีคำวินิจฉัยที่กระทบต่อสถานะ ส.ส.
การเมืองไทยกำลังอยู่ในช่วง “เกมสั้น 4 เดือน” ที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน พรรคประชาชนต้องเดินบนเส้นทางที่เปราะบางระหว่างการทำหน้าที่ฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง กับการรักษาความเป็นเอกภาพภายใน ขณะที่พรรคเพื่อไทยในฐานะฝ่ายค้านอิสระก็จะถูกจับตาว่าจะเลือกบทบาทใดในเวทีจริง
สุดท้าย เกมตรวจสอบรัฐบาลอนุทินครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการต่อสู้เชิงนโยบาย แต่ยังเป็นการวัดศรัทธาของประชาชนต่อพรรคการเมืองในอนาคต ว่าใครคือ “ฝ่ายค้านที่แท้จริง” และใครจะได้เป็น “ตัวเลือกหลัก” ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป


