เพื่อไทยเปิดเกมกฎหมาย ถอดนายกฯอนุทิน-ยุบพรรคคู่แข่ง
พรรคเพื่อไทยเดินหน้าเกมกฎหมายด้วยคำร้อง 3 ฉบับ ถอดถอนนายกฯ อนุทิน-ยุบพรรคคู่แข่ง ดึงนักกฎหมายมหาชนอิสระร่วมร่าง หวังพลิกเกมการเมือง
KEY
POINTS
- พรรคเพื่อไทยเตรียมยื่น 3 คำร้องทางกฎหมาย มีเป้าหมายเพื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรีอนุทิน และยุบพรรคการเมืองคู่แข่ง
- คำร้องมุ่งตรวจสอบจริยธรรมนายกฯ กรณี "ฮั้ว ส.ว.", ชี้ว่าข้อตกลง (MOA) ของพรรคร่วมรัฐบาลขัดรัฐธรรมนูญ, และกล่าวหาว่าเป็นการกระทำเพื่อล้มล้างการปกครอง
- การดำเนินการทางกฎหมายนี้อาจส่งผลให้นายกฯ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่, ตัดสิทธิ์ ส.ส. ที่เกี่ยวข้อง, และอาจนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองในอนาคต
เกมกฎหมายจากคำร้อง 3 ฉบับ
ความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยยังไม่จบ แม้อนุทิน ชาญวีรกูล จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากการโหวตในสภา พรรคเพื่อไทยกลับเลือกใช้ “เกมกฎหมาย” เป็นอาวุธใหม่ โดยได้ดึง ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชนผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐธรรมนูญและไม่มีส่วนได้เสียทางการเมือง เข้ามารับหน้าที่ร่างคำร้องสำคัญ 3 ฉบับ ซึ่งมีเป้าหมายตรวจสอบทั้งตัวนายกรัฐมนตรี บุคคลที่เกี่ยวข้อง และพรรคการเมืองคู่แข่ง
คำร้องฉบับแรก มุ่งไปที่การถอดถอนนายกรัฐมนตรีจากกรณี “ฮั้ว ส.ว.” ที่นายอนุทินถูกกล่าวหาเป็นผู้ร่วมสมคบคิดลำดับที่ 187 โดยแม้คดียังไม่สิ้นสุด แต่ฝ่ายผู้ร้องยืนยันว่าเข้าข่ายการฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (5) และมีบรรทัดฐานเปรียบเทียบกับคดีอดีตนายกฯ เศรษฐาและแพทองธารที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้พฤติกรรมการกระทำเป็นหลักพิจารณา
คำร้องฉบับที่สอง โจมตีข้อตกลง MOA ระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาชน โดยเห็นว่าเป็นการผูกพันกันอย่างผิดรัฐธรรมนูญ ทั้งการบังคับยุบสภาภายใน 4 เดือน และการจำกัดบทบาทพรรคการเมือง ถือเป็นการลิดรอนอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ และละเมิดหลักการแบ่งแยกอำนาจอย่างชัดเจน
คำร้องฉบับที่สาม ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญในฐานะการกระทำล้มล้างการปกครอง โดยระบุว่า MOA ดังกล่าวฝ่าฝืนกฎหมายพรรคการเมืองหลายมาตรา และเป็นการใช้อำนาจนอกครรลองประชาธิปไตย หากศาลมีคำสั่งยุติพฤติกรรมดังกล่าว อาจนำไปสู่การยุบพรรคที่เกี่ยวข้องในอนาคต
ช่องโหว่-ผลสะเทือนทางการเมือง
ทั้งสามคำร้องมีผลทางการเมืองแตกต่างกันไป แต่ล้วนมุ่งไปที่การลดทอนอำนาจของนายกรัฐมนตรีและพรรคร่วมรัฐบาล
ในกรณีถอดถอนนายกรัฐมนตรี หากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องและสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว จะทำให้รัฐบาลอนุทินสะดุดทันที และสร้างสุญญากาศทางการเมืองที่อาจเปิดทางให้พรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นตัวแปรสำคัญ ขณะที่กรณี MOA หากถูกตีความว่าผิดรัฐธรรมนูญ ส.ส. ที่ร่วมลงนามและโหวตตามข้อตกลงอาจถูกตัดสิทธิทางการเมือง ส่งผลให้สมดุลเสียงในสภาเปลี่ยนแปลงโดยตรง
ที่สำคัญ คำร้องล้มล้างการปกครองถือเป็น “ชนวนระยะยาว” เพราะแม้จะมีการยุบสภา คำร้องอื่นจะตกไป แต่คำร้องนี้ยังคงมีผล และอาจกลายเป็นประตูสู่การยุบพรรคการเมืองขนาดใหญ่ ซึ่งจะเปลี่ยนโฉมหน้าสภาและสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อระบบการเมืองไทยไม่ต่างจากคดียุบพรรคในอดีต เช่น กรณีพรรคอนาคตใหม่หรือก้าวไกล
เสียงวิจารณ์จากฝ่ายรัฐบาลชี้ว่า พรรคเพื่อไทยกำลังใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ “หักล้าง” ความพ่ายแพ้ทางการเมืองในสภา และเป็นการลากการต่อสู้เข้าสู่สนามตุลาการ แต่ฝ่ายเพื่อไทยตอบโต้ว่า นี่คือการปกป้องหลักการรัฐธรรมนูญและมาตรฐานจริยธรรมของผู้นำประเทศ
บทบาทนักกฎหมายและแนวโน้มอนาคต
บทบาทของ ดร.ณัฐวุฒิ ถูกจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นคนนอกพรรคแต่มีความเชี่ยวชาญสูง ทำให้คำร้องทั้งสามฉบับถูกมองว่ามีความเป็นมืออาชีพและมีน้ำหนักทางกฎหมายมากขึ้น เจ้าตัวยืนยันว่าทำหน้าที่ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่ยอมรับว่าร่างที่จัดทำมีโอกาสสูงถูกนำไปใช้จริง
ในระยะสั้น คำร้องเหล่านี้สร้างแรงกดดันมหาศาลต่อรัฐบาลอนุทิน เพราะนอกจากการทำงานในสภาที่ต้องพึ่งพาเสียงสนับสนุนจากหลายฝ่ายแล้ว ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางกฎหมายที่อาจทำให้ทั้งตัวบุคคลและพรรคการเมืองพ้นเวทีการเมืองก่อนเวลาอันควร
ในระยะยาว เกมกฎหมายครั้งนี้สะท้อนภาพการเมืองไทยที่ยังคงวนเวียนอยู่กับการต่อสู้ทั้งในสภาและในศาล พรรคการเมืองต่างใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือเพื่อรักษาหรือชิงอำนาจ ขณะที่ประชาชนยังคงต้องเฝ้ามองว่าการต่อสู้เหล่านี้จะนำพาประเทศไปสู่การปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง หรือเป็นเพียงการยืดเยื้อความขัดแย้งที่ไม่มีที่สิ้นสุด
สุดท้าย สัญญาณที่พรรคเพื่อไทยอาจยื่นคำร้องเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณสมบัติรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดและการปล่อยกู้กรุงไทย ยิ่งทำให้การเมืองไทยในช่วงนี้เต็มไปด้วยแรงสั่นสะเทือนและความไม่แน่นอนมากขึ้นไปอีก
เครดิตภาพ : รายการคมชัดลึก


