ย้อนรอย บ้านจันทร์ส่องหล้า ปมทักษิณครอบงำลุ้นยุบ6พรรคการเมือง
ความเคลื่อนไหวที่บ้านจันทร์ส่องหล้าเมื่อ14 สิงหาคม 2567 หลังศาลรัฐธรรมนูญสั่งปลดเศรษฐา ทวีสิน พ้นนายกรัฐมนตรี กำลังกลายเป็นจุดเริ่มต้นของมรสุมลูกใหม่
KEY
POINTS
- แกนนำ 6 พรรคร่วมรัฐบาลเข้าพบนายทักษิณ ชินวัตร ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า หลังศาลรัฐธรรมนูญสั่งปลดนายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของคดี
- การเข้าพบดังกล่าวถูกร้องเรียนว่าเป็นการปล่อยให้นายทักษิณ ซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรค เข้ามาครอบงำหรือชี้นำกิจกรรมของพรรค ซึ่งขัดต่อ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง
- นายทะเบียนพรรคการเมืองเตรียมเสนอให้ กกต. พิจารณาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบ 6 พรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้
ปมร้อนการเมืองไทยระอุอีกครั้ง! ความเคลื่อนไหวที่บ้านจันทร์ส่องหล้าเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 หลังศาลรัฐธรรมนูญสั่งปลดนายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กำลังกลายเป็นจุดเริ่มต้นของมรสุมลูกใหม่ เมื่อนายทะเบียนพรรคการเมืองเตรียมเสนอคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พิจารณาเสนอศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบ 6 พรรคร่วมรัฐบาลชุดก่อน ข้อหาปล่อยให้ "นายทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรค เข้ามาครอบงำหรือชี้นำกิจกรรมของพรรคอย่างผิดกฎหมาย
จุดเริ่มต้นที่ "บ้านจันทร์ส่องหล้า": 14 สิงหาคม 2567
เหตุการณ์ที่เป็นชนวนสำคัญของคดีนี้เริ่มต้นขึ้น เมื่อ14 สิงหาคม 2567 ทันทีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ท่ามกลางความสั่นคลอนทางการเมือง แกนนำพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลในขณะนั้น นำโดยพรรคเพื่อไทย รวมถึงพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ ได้แก่ พรรคภูมิใจไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคประชาชาติ และพรรคพลังประชารัฐ ต่างทยอยเดินทางเข้าพบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า
วัตถุประสงค์ของการหารือครั้งนั้น ถูกตีความว่าเป็นการพิจารณาหาตัวบุคคลที่จะถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป และการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ อย่างไรก็ตาม คำกล่าวของนายทักษิณในภายหลังที่ว่าเป็นการ "ไปกินมาม่า มาม่าอร่อย" ได้กลายเป็นวาทะที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงนัยยะของการประชุม
ปม "ครอบงำ" นำไปสู่การร้องเรียน: ฝ่าฝืน พ.ร.ป.พรรคการเมือง
การประชุมครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดข้อถกเถียงอย่างรุนแรงในสังคม โดยเฉพาะประเด็นที่นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมิได้มีสถานะเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใด ๆ ในปัจจุบัน ได้เข้าไปมีบทบาทในการหารือและชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมือง ซึ่งนำไปสู่การร้องเรียนต่อ กกต. จากบุคคลและกลุ่มการเมืองต่าง ๆ รวม 4 ราย ได้แก่ ผู้ร้องนิรนาม, นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี, นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ และนายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006
ผู้ร้องเรียนอ้างว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายการครอบงำหรือชี้นำพรรคการเมืองโดยบุคคลภายนอก ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ผิดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 29 ที่ห้ามมิให้ผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคกระทำการใดอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมือง และ มาตรา 28 ที่ระบุว่าพรรคการเมืองต้องไม่ยินยอมให้บุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรคกระทำการอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมือง
เส้นทางสู่การยุบพรรค
คณะกรรมการสอบสวน 6 คำร้องที่ถูกยื่นต่อ กกต. เพื่อขอให้พิจารณาสั่งยุบพรรคเพื่อไทยและ 6 พรรคร่วมรัฐบาลเดิม จะเสนอข้อสรุปต่อนายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง เพื่อวินิจฉัยกรณีคำร้องดังกล่าว
หากนายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นว่ามีความผิด จะเสนอให้ กกต. ทราบ และมีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาสั่งยุบพรรคตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ มาตรา 92 (3) ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคได้ในกรณีที่พรรคกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 28 และมาตรา 29
"อนุทิน" รับชี้แจง "ภูมิธรรม" ปัดไม่รู้
ในส่วนของแกนนำพรรคที่เกี่ยวข้อง กกต. ได้เชิญผู้เกี่ยวข้องเข้าชี้แจงข้อมูลไปแล้ว รวมถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และนายสันติ พร้อมพัฒน์ แกนนำพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งทั้งสองได้ยืนยันว่าได้ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมต่อ กกต. แล้ว
นายอนุทิน ได้ให้สัมภาษณ์ที่พรรคภูมิใจไทยว่า ตนเองได้ชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรไปนานแล้ว และไม่ได้กังวลเพราะ "ไม่ได้ทำอะไรผิด" พร้อมยืนยันว่าพรรคภูมิใจไทยไม่เคยมีใครมาครอบงำได้ เพราะเป็นพรรคของประชาชน สมาชิกพรรค และมีคณะกรรมการบริหารพรรคเป็น 10 คน ซึ่งมั่นใจว่าจะไม่ยอมให้ใครมาครอบงำ
ขณะที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า "ไม่ทราบเรื่อง" โดยระบุว่าในวันที่เกิดเหตุตนอยู่ต่างประเทศ และทราบเรื่องคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญจากโทรศัพท์ของนายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งได้โทรให้ตนกลับประเทศทันที และได้พบเพียงนายกรัฐมนตรีของคาซัคสถานเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่น ๆ ตนไม่เกี่ยว ขอให้เป็นไปตามกระบวนการ
การเมืองไทยยังคงอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ อนาคตของ 6 พรรคการเมือง และผลกระทบต่อภูมิทัศน์ทางการเมืองไทยจะเป็นเช่นไร คงต้องจับตาดูการวินิจฉัยของ กกต. และศาลรัฐธรรมนูญอย่างใกล้ชิด


