posttoday

ทักษิณ กางตำรารับมือ ‘ทรัมป์’ แนะรัฐบาลปกป้องผลประโยชน์ของชาติ

09 กรกฎาคม 2568

อดีตนายกฯ ทักษิณ วิเคราะห์เกมต่อรองภาษีสหรัฐฯ ชี้เป็นสไตล์นักธุรกิจที่ต้องยื่นข้อเสนอสุดโต่งก่อนเจรจา แนะรัฐบาลใช้ความสุขุม ปกป้องกลุ่ม SME และเกษตรกร


 

อดีตนายกรัฐมนตรี ‘ดร.ทักษิณ ชินวัตร’ แนะไทยรับมือเกมภาษีทรัมป์ “อย่าตื่นตระหนก” ชี้ต้องเดินบนเส้นทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างสุขุม

 

ภายในงาน “55 ปี NATION :ผ่าทางตันประเทศไทย” Chapter 1 3 บก. ถาม ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ตอบ วันพุธที่ 9 กรกฎาคม 2568 เวลา 17.00-20.00 น. ณ ห้องพญาไท 4 ชั้น 6 โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท

 

ดำเนินรายการโดย 3 บก.สมชาย มีเสน รองประธานกรรมการ บริษัท เนชั่น กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน),บากบั่น บุญเลิศ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เนชั่น กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน),และประธานกรรมการ บริษัท ฐานเศรษฐกิจ มัลติมีเดีย จำกัด,วีระศักดิ์ พงศ์อักษร บรรณาธิการอำนวยการเครือเนชั่น

 

ทักษิณ กางตำรารับมือ ‘ทรัมป์’ แนะรัฐบาลปกป้องผลประโยชน์ของชาติ

 

“Art of the Deal” สไตล์ทรัมป์ เข้าใจเกมเพื่อวางหมากที่เหนือกว่า

 

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ประชาคมโลกจับตามองการกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ และนโยบายกีดกันทางการค้าที่อาจสั่นสะเทือนเศรษฐกิจทั่วโลก ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญในการเจรจาต่อรองเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ 

 

ดร.ทักษิณ เริ่มต้นการวิเคราะห์โดยชี้ให้เห็นถึงแก่นแท้ของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าคือ “นักธุรกิจ” ดังนั้นยุทธศาสตร์การเจรจาของทรัมป์จึงถอดแบบมาจากกลยุทธ์ของบริษัทมหาอำนาจที่มีพลังต่อรองสูง 

 

นั่นคือ “การยื่นเงื่อนไขที่รุนแรงที่สุดก่อน (Maximum Pressure)” เพื่อผลักดันคู่เจรจาให้จนมุม จากนั้นจึงเริ่มการต่อรองที่แท้จริง

 

“วิธีการของเขาคือวิธีการของนักธุรกิจ... ยื่นเงื่อนไขที่คนต้องพึ่งไปก่อนสูงสุด แต่ไม่ได้หมายความว่าจบนะ ต่อรองได้” ดร.ทักษิณกล่าว พร้อมอธิบายว่าขณะนี้ไทยกำลังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจาต่อรอง 

 

แม้จะมีแรงกดดันและกรอบเวลาที่จำกัด แต่การรีบร้อนยอมจำนนในทุกเงื่อนไขเปรียบเสมือน “การถูกชำเราฟรี” ซึ่งจะทำให้ประเทศชาติเสียเปรียบอย่างมหาศาล

 

ทักษิณ กางตำรารับมือ ‘ทรัมป์’ แนะรัฐบาลปกป้องผลประโยชน์ของชาติ

 

 

ผ่าโครงสร้างส่งออกไทยไปสหรัฐฯ 

 

เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจน ดร.ทักษิณได้จำแนกโครงสร้างสินค้าส่งออกจากไทยไปยังสหรัฐอเมริกาออกเป็น 3 ส่วนหลัก

 

ซึ่งแต่ละส่วนได้รับผลกระทบแตกต่างกัน และต้องการยุทธศาสตร์ในการรับมือที่ต่างกันออกไป ดังนี้ 

 

1. สินค้าที่บริษัทอเมริกันจ้างไทยผลิต: สินค้ากลุ่มนี้คิดเป็น 1 ใน 3 ของการส่งออกทั้งหมด เป็นสินค้าที่บริษัทสหรัฐฯ มาลงทุนตั้งฐานการผลิตในไทย หรือจ้างโรงงานไทยผลิตเพื่อส่งกลับไปยังสหรัฐฯ เอง

 

หากมีการขึ้นภาษี ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจะถูกผลักภาระไปยังผู้บริโภคชาวอเมริกันโดยตรง การย้ายฐานการผลิตออกจากไทยทำได้ยาก

 

เนื่องจากแรงงานไทยมีความเชี่ยวชาญและทักษะที่สั่งสมมานานหลายสิบปี ซึ่งยากที่จะหาใครมาทดแทนได้ในระยะสั้น ดังนั้นบริษัทอเมริกันจึงมีแนวโน้มที่จะยอมรับภาระภาษีนี้ไว้เอง

 

2. สินค้าที่ใช้ชิ้นส่วนจากจีนมาประกอบในไทย: กลุ่มนี้สหรัฐฯ เพ่งเล็งว่าเป็นการ “สวมสิทธิ์” แหล่งกำเนิดสินค้าเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่ตั้งไว้กับจีน

 

ดร.ทักษิณมองว่า หากสินค้าส่วนนี้ได้รับผลกระทบ แม้ไทยจะสูญเสียรายได้จากการส่งออกไปสหรัฐฯ แต่ในขณะเดียวกัน การนำเข้าชิ้นส่วนจากจีนก็จะลดลงตามไปด้วย

 

ซึ่งจะช่วยลดตัวเลขการขาดดุลการค้าที่ไทยมีต่อจีนได้ จึงอาจไม่ส่งผลกระทบต่อดุลการค้าโดยรวมของประเทศมากนัก

 

3. สินค้าของไทย 100% (SME และเกษตร): นี่คือส่วนที่น่าเป็นห่วงและต้องปกป้องมากที่สุด เป็นผลิตภัณฑ์จากผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)

 

รวมถึงสินค้าเกษตรของไทยโดยตรง การถูกกำแพงภาษีจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ผลิตและเกษตรกรไทยอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุด

 

ทักษิณ กางตำรารับมือ ‘ทรัมป์’ แนะรัฐบาลปกป้องผลประโยชน์ของชาติ

 

พลิกเกมด้วย “บริการดิจิทัล” ที่ไม่เคยถูกเก็บภาษี

 

ในการเจรจาต่อรอง ดร.ทักษิณเสนอให้ไทยใช้ประเด็นเรื่อง “ภาคบริการ” ที่สหรัฐฯ ส่งออกมายังไทยเป็นเครื่องมือในการสร้างสมดุล

 

ดร.ทักษิณระบุว่า ที่ผ่านมาไทยอาจมองเพียงมิติของ “สินค้า” ที่จับต้องได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไทยนำเข้าบริการจากสหรัฐฯ เป็นมูลค่ามหาศาล

 

โดยเฉพาะบริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลและบริการสตรีมมิ่งต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เคยถูกจัดเก็บภาษีอย่างเป็นระบบ

 

“คุณขายสินค้าให้เรา เราเก็บภาษีคุณ แต่คุณขายบริการให้เราเยอะนะ... แพลตฟอร์มทั้งหลายเนี่ยไม่ได้เก็บภาษี”

 

ข้อเสนอนี้ไม่ใช่การเผชิญหน้า แต่เป็นการเรียกร้อง “ความแฟร์” หรือความเป็นธรรมในความสัมพันธ์ทางการค้า ให้ทั้งสองฝ่ายต่างมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบอย่างสมดุล

 

ซึ่งเป็นศิลปะที่กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องนำไปขยายผลเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง

 

ทักษิณ กางตำรารับมือ ‘ทรัมป์’ แนะรัฐบาลปกป้องผลประโยชน์ของชาติ

 

มิติภูมิรัฐศาสตร์ เดิมพันความมั่นคงหลังกำแพงภาษีทรัมป์

 

ประเด็นที่ลึกซึ้งและน่ากังวลที่สุดในการวิเคราะห์ครั้งนี้ คือการที่ ดร.ทักษิณชี้ว่า ข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่ยังพ่วงด้วยประเด็น “ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics)”

 

ที่ต้องการให้ไทยแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการรักษาระยะห่างจากจีน เพื่อแลกกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี

 

“มันเป็นเรื่องของ Geopolitics ด้วย... สิ่งที่เขาอยากเห็นเราเนี่ย อยากรู้ว่าเรามีระยะห่างกับจีนแค่ไหน”

 

ดร.ทักษิณเตือนสติอย่างหนักแน่นว่า การตัดสินใจในเรื่องนี้ต้องคำนึงถึงความมั่นคงของชาติเป็นอันดับแรก

 

การยอมทำตามข้อเรียกร้องบางอย่างที่ไม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ อาจเป็นการ “นำสงครามมาสู่บ้านเรา” ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้โดยเด็ดขาด

 

“ผมกลัวจะเป็นยูเครนนะ ไม่เอา” อดีตนายกฯ กล่าว พร้อมทิ้งนัยถึงข้อเรียกร้องที่อาจเกี่ยวข้องกับการใช้ฐานทัพในประเทศไทย ซึ่งเป็นเส้นแบ่งที่ไทยต้องขีดไว้ให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้ประเทศกลายเป็นสนามแข่งขันของมหาอำนาจ

 

หัวใจสำคัญของบทวิเคราะห์จากอดีตนายกรัฐมนตรีคือการเรียกร้องให้ทุกฝ่าย “อย่าตื่นตระหนก” เพราะความตื่นตระหนกจะนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดและขาดสติ

 

ดร.ทักษิณ เชื่อว่าทีมเจรจาของไทยกำลังเดินมาถูกทางแล้ว แต่จำเป็นต้องลงลึกในรายละเอียดให้มากขึ้น และประสานงานกันอย่างเต็มที่

 

“เราก็เลือกเท่าที่ทำได้... ผมยังอยู่ทั้งคน” ดร.ทักษิณกล่าวทิ้งท้ายด้วยความมั่นใจ

 

ข่าวล่าสุด

กต.ชี้ กัมพูชาปิดด่านห้ามคนไทยกลับประเทศขัดกฎหมายระหว่างประเทศ