จับตาปรับครม.แพทองธาร นัดอนุทินหารือ แลกกระทรวงขอมหาดไทยคืน
แพทองธาร นัด อนุทินหารือปรับครม.ขอแลกกระทรวง “ภูมิใจไทย” ลุ้นโยกเก้าอี้ หรือถูกผลักไปฝ่ายค้าน ชี้ชะตาพรรคร่วมรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย มีกำหนดหารือกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับการปรับคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะการเจรจาแลกเปลี่ยนกระทรวง
เป้าหมายหลักของพรรคเพื่อไทยคือการเข้าควบคุมกระทรวงมหาดไทย ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การดูแลของพรรคภูมิใจไทย โดยมีชื่อ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นตัวเต็งสำหรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคนใหม่
มีรายงานว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มองว่ากลไกของกระทรวงมหาดไทยมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวางแผนและจัดวางบุคคลเพื่อขับเคลื่อนงานการเมืองทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ
หากปล่อยให้พรรคภูมิใจไทยยังคงฝังรากฐานในกระทรวงนี้ต่อไปอีก 2 ปี อาจทำให้พรรคภูมิใจไทยแข็งแกร่งขึ้นจนส่งผลกระทบโดยตรงต่อพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้า
ขณะเดียวกัน หากนายอนุทินต้องโยกไปรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะต้องรับภาระงานสำคัญ เช่น การเจรจา "ภาษีทรัมป์" และการดูแลงานด้านเศรษฐกิจ
แต่หากพรรคภูมิใจไทยไม่ยอมแลกกระทรวง อาจถูกผลักดันให้อยู่ในขั้วฝ่ายค้าน แม้เสียงในสภาของพรรคร่วมรัฐบาลจะยังคงเกินกึ่งหนึ่ง แต่จะอยู่ในภาวะปริ่มน้ำ ทำให้พรรคเพื่อไทยต้องหาเสียงสนับสนุนจาก สส. เพิ่มเติม
หลังจากเสร็จสิ้นการหารือระหว่างผู้นำของทั้งสองพรรคในวันนี้ พรรคภูมิใจไทยมีกำหนดประชุม สส. ในช่วงเย็นวันเดียวกัน เพื่อประกาศท่าที หากการเจรจาเป็นผลบวก อาจไม่มีการแสดงท่าทีใดๆ แต่หากเป็นลบ อาจมีการเคลื่อนไหวที่รุนแรงจาก สส. พรรคภูมิใจไทยทันที
มีรายงานว่า นายกฯ แพทองธารตั้งเป้าที่จะปรับคณะรัฐมนตรีให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ เนื่องจากสมัยประชุมสภาฯ จะเปิดในวันที่ 3 กรกฎาคม การบริหารจัดการเสียง สส. ในสภาฯ จำเป็นต้องมีความชัดเจน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานะของพรรคภูมิใจไทยว่ายังคงอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่
นอกจากนี้ สัญญาณการเลื่อนการประชุม ครม. สัญจรที่จังหวัดพิษณุโลกออกไปอย่างไม่มีกำหนด ก็เป็นอีกหนึ่งข้อบ่งชี้ว่าอยู่ในช่วงของการเดินเกมปรับ ครม. ให้เกิดความชัดเจนก่อน
การเมืองในครั้งนี้จึงเป็นการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของทั้งสองพรรค โดยความสัมพันธ์ระหว่าง "นายใหญ่-ครูใหญ่" และ "เครือข่ายแดง-เครือข่ายน้ำเงิน" จำเป็นต้องเข้าสู่การต่อสู้แตกหักเพื่อทางรอดของตนเอง


