ดร.ณัฏฐ์ ฟันธง พีระพันธุ์ เผชิญวิบากกรรม3เด้ง กระเด็นตกเก้าอี้
ดร.ณัฏฐ์ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ฟันธง พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เผชิญวิบากกรรม3เด้ง โอกาสรอดยากเสี่ยงกระเด็นตกเก้าอี้
KEY
POINTS
- พีระพันธุ์ถูกสอบ3ปมร้อน ถือหุ้น-ติดสติกเกอร์ถุงยังชีพ-ลาออกสส.ย้อนหลัง
- ดร.ณัฏฐ์ ชี้หากป.ป.ช.รับไต่สวนโอกาสรอดน้อยส่งผลกระทบต่อตำแหน่ง
- แม้รวมไทยสร้างชาติแจงหุ้นถูกปล่อยทิ้งร้างแต่ยังมีข้อสงสัยงบดุลบริษัท
- มีการตั้งคำถามถึงความผิดพลาดของพีระพันธุ์ผู้มีประสบการณ์ด้านกฎหมาย
ประเด็นร้อนทางการเมืองที่กำลังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด หนีไม่พ้นกระแสการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกำลังเผชิญกับประเด็นตรวจสอบคุณสมบัติถึง3กรณี
ปมร้อนแรกของนายพีระพันธุ์ คือกรณีนายสนธิญา สวัสดี ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบการถือครองหุ้นในบริษัทต่างๆ ของนายพีระพันธุ์ ขณะที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งอาจขัดต่อคุณสมบัติ
ปมร้อนที่สอง ป.ป.ช. ได้นัดไต่สวนกรณีการติดสติกเกอร์ถุงยังชีพ ซึ่งถูกมองว่าอาจเป็นการใช้ทรัพยากรของรัฐเพื่อประโยชน์ส่วนตัว
และปมร้อนที่สาม คือข้อสงสัยเกี่ยวกับการลาออกจากสส.ย้อนหลังของนายพีระพันธุ์ ก่อนที่จะไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในสมัย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งอาจขัดต่อคุณสมบัติการสมัครรับเลือกตั้ง
ปมร้อนทั้งสามนี้ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม หรือ“ดร.ณัฏฐ์” นักกฎหมายมหาชนให้มุมมองทางกฎหมายที่น่าสนใจโดยยกรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 ประกอบมาตรา 170 มาอธิบายหากปรากฏข้อเท็จจริงว่ารัฐมนตรีขาดคุณสมบัติ สถานะความเป็นรัฐมนตรีก็จะสิ้นสุดลง
กรณีของการถือครองหุ้น ดร.ณัฐวุฒิ ตั้งข้อสังเกตว่า แม้จะมีการกล่าวอ้างว่าได้โอนหุ้นให้กับนิติบุคคลที่จัดสรรผลประโยชน์เพื่อผู้อื่นแล้วก็ตาม แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 วรรค 3 การโอนหุ้นที่จะมีผลต่อบุคคลภายนอกนั้น จะต้องมีการจดแจ้งชื่อและสำนักงานต่อนายทะเบียนหุ้นส่วน ซึ่งหากยังไม่มีการดำเนินการดังกล่าว ก็ถือว่ายังคงมีการถือครองหุ้นอยู่ และอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญที่ห้ามมิให้รัฐมนตรีคงสถานะการเป็นผู้ถือหุ้น
ขณะที่ นายหิมาลัย ผิวพรรณ ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ชี้แจงว่า หุ้นที่นายพีรพันธุ์ถือครองนั้นได้ปล่อยทิ้งร้างไปแล้ว แต่ดร.ณัฐวุฒิ ตั้งข้อสงสัยถึงงบดุลที่ระบุว่ามีการออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 14 ล้านบาท และการซื้อทรัพย์สินเพิ่มอีก 20 ล้านบาท ในขณะที่นายพีรพันธุ์ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีแล้ว
สำหรับกรณีการติดสติกเกอร์ถุงยังชีพ ดร.ณัฐวุฒิ มองว่า ประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับมาตรฐานทางจริยธรรมตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 219 และพระราชบัญญัติว่าด้วยจริยธรรม พ.ศ. 2562 ซึ่งกำหนดให้รัฐมนตรีต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน และปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต การนำงบประมาณของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน ไปใช้ในการจัดซื้อถุงยังชีพและติดสติกเกอร์ อาจเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อนและขัดต่อมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ส่วนประเด็นการลาออกจากสส. ย้อนหลัง ดร.ณัฐวุฒิ อธิบายว่า รัฐธรรมนูญห้ามมิให้ลูกจ้างหรือพนักงานของรัฐสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. โดยจะพิจารณาคุณสมบัติ ณ วันที่ยื่นใบสมัคร ไม่ใช่วันที่ลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งในขณะที่นายพีรพันธุ์ดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรีนั้น ถือเป็นเจ้าพนักงานของรัฐตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 4
"จากข้อกล่าวหาทั้ง3ประการนี้ ในทางการเมืองถือว่านายพีรพันธุ์อาจหมดความสง่างามในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี และอาจมีคุณสมบัติต้องห้าม ซึ่งประเด็นนี้อาจส่งผลกระทบไปถึง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หากมีการเปรียบเทียบกับกรณีของ นายเศรษฐา ทวีสิน ที่เคยถูกตั้งคำถามถึงการแต่งตั้งรัฐมนตรีที่มีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามกฎหมาย"
ดร.ณัฐวุฒิ ยังตั้งข้อสังเกตว่า หากเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการไต่สวนของ ป.ป.ช. โอกาสที่นายพีรพันธุ์จะพ้นจากข้อกล่าวหามีน้อยมาก และยังตั้งคำถามถึงประสบการณ์การเป็นผู้พิพากษาและนักกฎหมายของนายพีรพันธุ์ เหตุใดจึงเกิดข้อผิดพลาดในประเด็นเหล่านี้ได้ ดังนั้น สถานการณ์ของนายพีระพันธุ์อาจส่งผลต่อการปรับ ครม. ในอนาคตอันใกล้


