ปัญหาไฟป่ารุนแรง-PM2.5 พุ่ง! รัฐบาลยังสั่งการแบบ “ไม่รู้-ไม่เข้าใจ”
“ภัทรพงษ์” ชี้ ไฟป่ารุนแรง-PM2.5 พุ่ง แต่รัฐบาลยังสั่งการแบบ “ไม่รู้-ไม่เข้าใจ” เหมือนเดิม รอพึ่งฟ้าพึ่งฝนแก้ปัญหา
นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ เขต 8 และรองโฆษกพรรคประชาชน กล่าวถึงสถานการณ์ไฟป่าและฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือ ที่เริ่มกลับมาทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้
โดยระบุว่า หลังจากที่เราผ่านช่วงเวลาสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ฝนตกลงมาช่วยไฟป่าหลายวัน สัปดาห์แรกของมีนาคม จำนวนจุดความร้อน (hotspot) และค่า PM 2.5 จากไฟป่าและประเทศเพื่อนบ้านก็กลับมาเพิ่มขึ้นสูงในพื้นที่ภาคเหนือ ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงอีกหนึ่งปัญหาการจัดการไฟป่าในภาพใหญ่จากฝ่ายบริหารของประเทศ
ขณะที่หน่วยงานผู้ปฏิบัติหน้างาน อาสาสมัคร กำลังทำงานกันอย่างหนักในการป้องกันและควบคุมไฟป่า แต่การบริหารจัดการจากฝ่ายบริหารยังคงไม่ตอบโจทย์และมองไม่เห็นปัญหาหน้างานเหมือนเคย
เรายังเห็นเจ้าหน้าที่ติดต่อขอรับบริจาคอุปกรณ์ดับไฟ ขอรับสนับสนุนโดรนตรวจจับความร้อน และมอเตอร์ไซค์วิบากจากภาคประชาชน รวมถึงเรื่องเล็กๆ เช่น การขอรับบริจาคอุปกรณ์ซักเสื้อผ้าที่ใช้ในการดับไฟทุกๆ วัน
นายภัทรพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ปัญหาเหล่านี้เกิดจากความไม่รู้และไม่เข้าใจในปัญหาของฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล โดยขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆ ใน 3 ข้อ
1. งบประมาณและงบกลางที่ลงมาล่าช้า-ไม่เพียงพอ
รัฐบาลยังคงมองไม่เห็นถึงความสำคัญของไฟป่ามากพอ ทำให้งบประมาณถูกตัดออกไปแทบไม่เหลือ และงบกลางก็ออกมาล่าช้าและไม่เพียงพอ ทำให้เจ้าหน้าที่หน้างานไม่สามารถดำเนินการตามแผนที่วางไว้ได้
ยกตัวอย่างเช่น ทุกวันนี้ที่มีไฟป่าเกิดขึ้นจำนวนมาก มีท้องถิ่นที่ได้เข้ารับการอบรมดับไฟป่าไม่ถึง 50 แห่ง จากท้องถิ่นในพื้นที่ไฟป่าทั่วประเทศกว่า 2,000 แห่ง หรือจะเป็นการจัดสรรงบกลาง 200 ล้านให้กรมฝนหลวงไปโปรยน้ำแข็งแห้ง โครงการปลายเหตุที่ไม่มีความคุ้มค่าของงบประมาณเลย แล้วปล่อยให้คนที่สู้กับต้นเหตุ ทำงานโดยขาดงบประมาณ
2. การล็อกสเปกอุปกรณ์จากส่วนกลาง
หลายคนอาจคิดว่างบประมาณที่รัฐบาลให้กับหน้างานในการรับมือไฟป่านั้น พื้นที่สามารถจัดซื้ออะไรก็ได้ แล้วแต่ความเหมาะสมของพื้นที่ แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ เพราะถูกล็อกสเปกให้ซื้อได้เพียงไม้ตบไฟ คราด ถังฉีดน้ำ และเครื่องเป่าลมเท่านั้น ไม่สามารถซื้ออุปกรณ์เทคโนโลยีที่มาช่วยในการป้องกันและควบคุมไฟป่าได้เลย
ยกตัวอย่างเช่น บางพื้นที่อยากใช้เทคโนโลยีโดรนตรวจจับความร้อนเข้ามาช่วยในการเฝ้าระวัง ลาดตระเวน และตรวจพบไฟป่าแต่เนิ่นๆ ก็ทำไม่ได้
บางพื้นที่มีแหล่งน้ำอยู่ใกล้พื้นที่เสี่ยงไฟป่า อยากจะซื้อปั๊มน้ำและสายยางยาวหลักกิโลเมตรเพื่อจัดทำสถานีน้ำในพื้นที่เสี่ยงไฟป่าที่ไม่มีแหล่งน้ำ ก็ทำไม่ได้
บางพื้นที่เป็นพื้นที่ลาดชัน กว่าจะเดินขึ้นไปดับไฟได้ก็จะหมดแรงแล้ว และเมื่อดับไฟอยู่บนสันเขา เจอไฟกองใหม่ขึ้น อยากจะดับต่อก็ทำไม่ได้ เพราะเสบียง น้ำดื่ม หรือน้ำมันเชื้อเพลิงหมด ก็จำเป็นต้องยกเลิกภารกิจไปก่อน
พื้นที่เหล่านี้อยากที่จะซื้อยานพาหนะขนส่งอุปกรณ์ เสบียง น้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อประหยัดแรงของคนดับไฟ ทำให้คนดับไฟสามารถอยู่ในพื้นที่ดับไฟป่าได้นานยิ่งขึ้น ก็ทำไม่ได้
3. ดับไฟป่าทั้งหนักและเสี่ยง แต่ค่าตอบแทนไม่ได้สูงตามภาระงาน
ค่าตอบแทนรายวันสำหรับเจ้าหน้าที่ดับไฟป่านั้นน้อยมาก อยู่ที่เพียงแค่ 240-350 บาทเท่านั้น และก็ไม่มีประกันชีวิตให้กับเจ้าหน้าที่อีกด้วย หลายที่ต้องประสานเอกชนระดมทุนหากันเอง อีกทั้งระเบียบอาสาสมัครช่วยเหลือภัยพิบัติก็ยังไม่แก้ ทำงานเกิน 8 ชั่วโมง แต่ได้ค่าตอบแทนแค่ 300 บาท
นายภัทรพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของปัญหาเท่านั้น ยังมีปัญหาเรื่องความไม่ชัดเจนในข้อสั่งการต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งปัญหาลักษณะนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย หากฝ่ายบริหารใส่ใจและเข้าใจในปัญหาจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่สั่งการอย่างเดียว
ขาดการติดตามผล ไม่แม้กระทั่งรายงานผลการดำเนินการให้ประชาชนทราบ รอพึ่งฟ้าพึ่งฝนแก้ปัญหาเพียงอย่างเดียว ขอขอบคุณและส่งกำลังใจให้เจ้าหน้าที่และอาสาทุกๆ คนที่ทำงานอย่างหนัก เพื่ออากาศหายใจของพวกเราทุกคนครับ


