posttoday

ปัญหาไฟป่ารุนแรง-PM2.5 พุ่ง! รัฐบาลยังสั่งการแบบ “ไม่รู้-ไม่เข้าใจ”

07 มีนาคม 2568

“ภัทรพงษ์” ชี้ ไฟป่ารุนแรง​-PM2.5 พุ่ง แต่รัฐบาลยังสั่งการแบบ “ไม่รู้-ไม่เข้าใจ” เหมือนเดิม รอพึ่งฟ้าพึ่งฝนแก้ปัญหา

นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ เขต 8 และรองโฆษกพรรคประชาชน กล่าวถึงสถานการณ์ไฟป่าและฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือ ที่เริ่มกลับมาทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้

 

โดยระบุว่า หลังจากที่เราผ่านช่วงเวลาสิ้นเดือนกุมภาพันธ์​ที่ฝนตกลงมาช่วยไฟป่าหลายวัน​ สัปดาห์แรกของมีนาคม จำนวนจุดความร้อน​ (hotspot)​ และค่า​ PM 2.5 จากไฟป่าและประเทศเพื่อนบ้านก็กลับมาเพิ่มขึ้นสูงในพื้นที่ภาคเหนือ​ ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงอีกหนึ่งปัญหาการจัดการไฟป่าในภาพใหญ่จากฝ่ายบริหารของประเทศ

 

ขณะที่หน่วยงานผู้ปฏิบัติหน้างาน​ อาสาสมัคร​ กำลังทำงานกันอย่างหนักในการ​ป้องกันและควบคุม​ไฟป่า​ แต่การบริหารจัดการจากฝ่ายบริหารยังคงไม่ตอบโจทย์และมองไม่เห็นปัญหาหน้างานเหมือนเคย​

 

เรายังเห็นเจ้าหน้าที่ติดต่อขอรับบริจาคอุปกรณ์ดับไฟ​ ขอรับสนับสนุนโดรนตรวจจับความร้อน และมอเตอร์ไซค์วิบากจากภาคประชาชน​ รวมถึงเรื่องเล็กๆ เช่น การขอรับบริจาคอุปกรณ์ซักเสื้อผ้าที่ใช้ในการดับไฟทุกๆ วัน

นายภัทรพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ปัญหาเหล่านี้เกิดจากความไม่รู้และ​ไม่เข้าใจในปัญหา​ของฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล โดยขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆ ใน 3 ข้อ


1. งบประมาณและงบกลางที่ลงมาล่าช้า-ไม่เพียงพอ

 รัฐบาลยังคงมองไม่เห็นถึงความสำคัญของไฟป่า​มากพอ​ ทำให้งบประมาณถูกตัดออกไปแทบไม่เหลือ​ และงบกลางก็ออกมาล่าช้า​และไม่เพียงพอ​ ทำให้เจ้าหน้าที่หน้างานไม่สามารถดำเนินการตามแผนที่วางไว้ได้​

 

ยกตัวอย่างเช่น ทุกวันนี้ที่มีไฟป่าเกิดขึ้นจำนวนมาก มีท้องถิ่นที่ได้เข้ารับการอบรมดับไฟป่า​ไ​ม่ถึง​ 50 แห่ง​ จาก​ท้องถิ่นในพื้นที่ไฟป่าทั่วประเทศกว่า​ 2,000​ ​แห่ง​ หรือจะเป็นการจัดสรรงบกลาง​ 200​ ล้านให้กรมฝนหลวงไปโปรยน้ำแข็งแห้ง โครงการปลายเหตุที่ไม่มีความคุ้มค่าของงบประมาณเลย แล้วปล่อยให้คนที่สู้กับต้นเหตุ​ ทำงานโดยขาดงบประมาณ


2. การล็อกสเปกอุปกรณ์จากส่วนกลาง​

หลายคนอาจคิดว่างบประมาณที่รัฐบาลให้กับหน้างาน​ในการรับมือไฟป่า​นั้น​ พื้นที่สามารถจัดซื้ออะไรก็ได้​ แล้วแต่ความเหมาะสมของพื้นที่ แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ เพราะถูกล็อกสเปกให้ซื้อได้เพียงไม้ตบไฟ​ คราด​ ถังฉีดน้ำ​ และเครื่องเป่าลมเท่านั้น​ ไม่สามารถซื้ออุปกรณ์เทคโนโลยีที่มาช่วยในการป้องกันและควบคุมไฟป่าได้เลย​

ยกตัวอย่างเช่น บางพื้นที่อยากใช้เทคโนโลยี​โดรนตรวจจับความร้อน​เข้ามาช่วยในการเฝ้าระวัง​ ลาดตระเวน​ และตรวจพบไฟป่าแต่เนิ่นๆ​ ก็ทำไม่ได้

 

บางพื้นที่มีแหล่งน้ำอยู่ใกล้พื้นที่เสี่ยงไฟป่า อยากจะซื้อปั๊มน้ำและสายยางยาว​หลักกิโลเมตรเพื่อจัดทำสถานีน้ำ​ในพื้นที่เสี่ยงไฟป่าที่ไม่มีแหล่งน้ำ ก็ทำไม่ได้

 

บางพื้นที่เป็นพื้นที่ลาดชัน​ กว่าจะเดินขึ้นไปดับไฟได้ก็จะหมดแรงแล้ว​ และเมื่อดับไฟอยู่บนสันเขา​ เจอไฟกองใหม่ขึ้น​ อยากจะดับต่อก็ทำไม่ได้​ เพราะเสบียง​ น้ำดื่ม หรือน้ำมันเชื้อเพลิงหมด​ ก็จำเป็นต้องยกเลิกภารกิจไป​ก่อน​

 

พื้นที่เหล่านี้อยากที่จะซื้อยานพาหนะ​ขนส่งอุปกรณ์​ เสบียง น้ำมันเชื้อเพลิง​ เพื่อประหยัดแรงของคนดับไฟ​ ทำให้คนดับไฟสามารถอยู่ในพื้นที่ดับไฟป่าได้นานยิ่งขึ้น ก็ทำไม่ได้


3. ดับไฟป่าทั้งหนักและเสี่ยง​ แต่ค่าตอบแทนไม่ได้สูงตามภาระงาน

ค่าตอบแทนรายวันสำหรับเจ้าหน้าที่ดับไฟป่านั้นน้อยมาก อยู่ที่เพียงแค่​ 240-350 บาทเท่านั้น​ และก็ไม่มีประกันชีวิตให้กับเจ้าหน้าที่อีกด้วย​ หลายที่ต้องประสานเอกชนระดมทุนหากันเอง​ อีกทั้งระเบียบอาสาสมัครช่วยเหลือภัยพิบัติก็ยังไม่แก้​ ทำงานเกิน​ 8 ชั่วโมง แต่ได้ค่าตอบแทนแค่​ 300​ บาท


นายภัทรพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของปัญหาเท่านั้น​ ยังมีปัญหาเรื่องความไม่ชัดเจนในข้อสั่งการต่างๆ ​อีกมากมาย​ ซึ่งปัญหาลักษณะนี้​จะไม่เกิดขึ้นเลย หากฝ่ายบริหาร​ใส่ใจ​และเข้าใจในปัญหาจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่สั่งการ​อย่างเดียว​

 

ขาดการติดตามผล​ ไม่แม้กระทั่งรายงานผลการดำเนินการให้ประชาชนทราบ รอพึ่งฟ้าพึ่งฝนแก้ปัญหาเพียงอย่างเดียว ขอขอบคุณและส่งกำลังใจให้เจ้าหน้าที่และอาสาทุกๆ คนที่ทำงานอย่างหนัก ​เพื่ออากาศหายใจของพวกเราทุกคนครับ 

ข่าวล่าสุด

นครชัยแอร์ ผนึก NEX ชิงดีลรถเมล์ไฟฟ้า ขสมก. 1,520 คัน มูลค่า 1.53 หมื่นล้าน