posttoday

อนุดิษฐ์ ห่วง การเมืองโยง คุมขังนอกเรือนจำ ทำผู้ต้องโทษเข้าเกณฑ์ เสียสิทธิ์

21 ธันวาคม 2566

อนุดิษฐ์ ชี้ ระเบียบราชทัณฑ์ คุมขังนอกเรือนจำ มีมานาน ปัจจุบันแค่ ปรับปรุงให้ทันสมัย ไม่เชื่อเปิดช่อง เอื้อใครเป็นพิเศษ หวั่น การเมืองลากมาเป็นประเด็น เชื่อมโยง ทักษิณ ส่งผลกระทบ ผู้ต้องโทษอื่นเข้าเกณฑ์ เสียสิทธิ์ตามไปด้วย

น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รองหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ ระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 ที่ประกาศเมื่อวันที่ 6 ธ.ค.66 ว่า อาจเอื้อประโยชน์ให้แก่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่เป็นผู้ต้องขัง และรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจว่า เท่าที่ได้ติดตามและหาข้อมูลประกอบพบว่า ระเบียบราชทัณฑ์เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.66 เป็นการออกระเบียบตามมาตรา 34 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ออกโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นผู้แต่งตั้ง การกำหนดให้สถานที่ใดเป็นสถานที่คุมขัง ซึ่งรวมถึงการกำหนดให้สถานที่อยู่อาศัยเป็นที่คุมขัง เป็นไปตามกฎกระทรวงกำหนดสถานที่คุมขัง พ.ศ.2563 ลงวันที่ 25 ก.ย.63 ที่ออกและให้ความเห็นชอบโดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี 

น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวว่า การควบคุมในสถานที่อื่น ที่มิใช่เรือนจำ ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ เพราะถูกใช้ในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2550 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 89/1 และ 89/2 โดยให้ศาลเป็นผู้ออกคำสั่งให้ผู้ต้องขังไปคุมขังในสถานที่อื่นที่มิใช่เรือนจำได้ กรมราชทัณฑ์ เพิ่งออกระเบียบเพื่อใช้หลักเกณฑ์นี้หลังจากที่ศาลใช้มาแล้วถึง 16 ปี ส่วนในต่างประเทศใช้มานานแล้ว และที่ตั้งรองอธิบดี เป็นหัวหน้าคณะทำงาน เพราะเป็นระเบียบของกรม ซึ่งมีอธิบดี เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด 

“หากดูที่มาที่ไปของระเบียบราชทัณฑ์ รวมถึงตัวกฎหมายราชทัณฑ์ ปี 2560 ที่มีการปรับปรุงเพื่อให้เป็นไปตามหลักสากลมากขึ้น จะเห็นว่า กระบวนการทั้งหลายต้องถือว่าชอบด้วยกฎหมายแล้ว อีกทั้งกระบวนการต่างๆ เกิดในช่วงรัฐบาลคสช. รวมไปถึงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ก่อนที่จะมาถึงรัฐบาลชุดนี้ด้วย”นอ.อนุดิษฐ์กล่าว

น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวว่า ตามบทบัญญัติ มาตรา 33 ใน พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ 2560 กำหนดให้มีสถานที่อื่นที่มิใช่เรือนจำเป็นสถานที่คุมขังผู้ต้องขังอันเป็นไปตามหลักทัณฑวิทยา เพราะการบริหารโทษผู้ต้องขังให้เหมาะสมกับพฤติการณ์การกระทำความผิด ลักษณะของความผิด และความรุนแรงของคดีจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาพฤตินิสัยของผู้ต้องขังและทำให้การได้รับพระราชทานอภัยโทษมีประสิทธิภาพ ทำให้มีเฉพาะผู้ที่สมควรเท่านั้นที่จะได้รับการลดโทษ หรือปล่อยตัวสู่สังคมต่อไป จึงต้องมีการจำแนกลักษณะของผู้ต้องขังเพื่อการจำแนกและแยกคุมขังทั้งในเรือนจำและสถานที่อื่นที่มิใช่เรือนจำ 

น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวว่า การกำหนดให้สถานที่ใดที่มิใช่เรือนจำเป็นสถานที่คุมขังให้เป็นไปตามกฎกระทรวง เมื่อวันที่ 25 ก.ย.63  รมว.ยุติธรรมขณะนั้น ได้ออกกฎกระทรวงกำหนดสถานที่คุมขัง พ.ศ.2563 กำหนดให้สถานที่อยู่อาศัยและสถานที่อื่นที่มิใช่เรือนจำ เช่น สถานศึกษา วัด มัสยิด หรือโรงพยาบาล เป็นสถานที่คุมขัง จากนั้น เมื่อวันที่  6 ธ.ค.66 อธิบดีกรมราชทัณฑ์จึงได้ออกระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 กำหนดให้มีคณะทำงาน 2 ชุด ได้แก่ คณะทำงานของเรือนจำ เพื่อจำแนกลักษณะของผู้ต้องขังและข้อเท็จจริงของแต่ละเรือนจำ เพื่อเสนอต่อคณะทำงานของกรมที่มีรองอธิบดีเป็นประธานคณะทำงาน พิจารณากลั่นกรองรายชื่อผู้ต้องขังที่แต่ละเรือนจำเสนอมาว่าสมควรที่จะใช้วิธีคุมขังในสถานที่คุมขังที่มิใช่เรือนจำหรือไม่ แล้วเสนอต่ออธิบดีเพื่ออนุมัติ 

“ระเบียบของกรมราชทัณฑ์ที่ออกมาจึงเป็นเพียงเพื่อแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามที่ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ และกฎกระทรวงได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้แล้วตั้งแต่ปี 2560 และ 2563 ตามลำดับ มิได้สร้างหลักเกณฑ์ขึ้นมาใหม่เพื่อเอื้อผู้หนึ่งผู้ใดทั้งสิ้น” น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว

รองหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวอีกว่า ที่ติดตามเรื่องนี้ก็เพราะเห็นว่า มีความพยายามโยงเรื่องให้เป็นประเด็นการเมืองในกรณีของ นายทักษิณ จนอาจส่งผลให้กฎหมาย และระเบียบที่ปรับปรุงให้มีความทันสมัย และเป็นไปตามหลักสากล จะไม่ได้ถูกใช้ตรงตามเจตนารมณ์ กระทบผู้ต้องโทษคนอื่นๆ ที่เข้าเกณฑ์ได้รับการพิจารณาตามระเบียบที่อาจจะเสียสิทธิในส่วนนี้ไปด้วย

เท่าที่ทราบ กรมราชทัณฑ์ ส่งหนังสือแจ้งรายละเอียด และแนวทางปฏิบัติไปยังเรือนจำและทัณฑสถาน 144 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้คณะกรรมการฯ ในแต่ละเรือนจำได้พิจารณาผู้ต้องขังที่เข้าเกณฑ์ และรวบรวมรายชื่อ เสนอมายังกรมราชทัณฑ์ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค.66 แต่ถึงขณะนี้การดำเนินการยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร เพราะถูกวิพากษวิจารณ์อย่างหนัก