posttoday

'รณกาจ'ทีมศก.ไทยสร้างไทยเตือนกู้แจกเงินดิจิทัลเสี่ยงประเทศพัง

17 พฤศจิกายน 2566

"รณกาจ ชินสำราญ"ทีมเศรษฐกิจไทยสร้างไทยชี้ ร้านค้ารายย่อย ผวารัฐรีดภาษีหนีไม่ร่วมโครงการ สุดท้ายเงินเข้ารายใหญ่ ไม่เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจไม่ค้านการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่แจกเงินดิจิทัล10,000 บาทต้องรอบคอบเพราะเสี่ยงทำประเทศพัง หลังต้องกู้มหาศาล

นายรณกาจ ชินสำราญ คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ พรรคไทยสร้างไทย เห็นด้วยกับการ กระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งพี่น้องประชาชนจะได้ประโยชน์จากมาตรการของรัฐ แต่ก็มีประเด็นที่ต้องแสดงความกังวล นั่นคือการออก พ.ร.บ.เงินกู้ วงเงิน 500,000 ล้านบาทเพื่อระดมทุนมาแจกในโครงการนี้ สุดท้ายแล้วอาจไม่มีใครได้เงินแม้แต่บาทเดียว เพราะเสี่ยงขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 140 และขัด พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง มาตรา 53 ที่ระบุว่า หากใช้เงินที่ไม่ได้เป็นไปตามงบประมาณปกติ จะทำได้กรณีมีความจำเป็นเร่งด่วนเท่านั้น แต่วันนี้ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน จึงขอให้รัฐบาลพิจารณาด้วยความรอบคอบ

ทั้งนี้ เห็นว่า การที่รัฐบาลจะกู้เงินมาแจกโดยออกเป็น พ.ร.บ.กู้เงิน น่าจะเป็นการซื้อเวลามากกว่า หรือไม่ เพราะจำเป็นต้องสร้างภาพให้ดูดีว่ากำลังทำตามนโยบายที่พรรคของตนเคยหาเสียงไว้ในช่วงเลือกตั้งเท่านั้น แต่ผลกระทบที่ตามมากลับไม่ได้นำมาพิจารณาอย่างรอบคอบ กล่าวคือ คนไทยทั้งประเทศต้องมาร่วมกันแบกรับหนี้ดังกล่าวในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หลายคนมองว่า โครงการนี้เดิมทีได้โปรโมทว่า จะเป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินใหม่ให้แก่ประเทศ อันจะทำให้พัฒนาสู่เศรษฐกิจดิจิทัลแบบก้าวกระโดด แต่ดูเหมือนว่าพอนานไป หลังจากมีการออกมาชี้แจง ทำให้เห็นได้ชัดว่าโปรโมชันดังกล่าวไม่เป็นความจริง แต่โครงการมีสภาพเป็นเพียงการใช้นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นการอุปโภคบริโภคแบบพื้นๆ เท่านั้น 

ไม่เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในมิติของการหารายได้ ตรงกันข้ามอาจจะก่อให้เกิดปัญหาตามมา นอกจากจะเป็นเพิ่มหนี้สาธารณะ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนในระยะยาวแล้ว ยังอาจจะเป็นปัจจัยให้เกิดเงินเฟ้อสูงขึ้นมาอีก ตอนนี้มีคนไปร้องเรียนแล้วว่าโครงการนี้เป็นการกระทำที่อาจเข้าข่ายมุ่งสร้างความนิยมทางการเมือง ไม่ได้พัฒนาประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างที่มีการหาเสียงไว้ 

ประเด็นที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่มีคนตั้งข้อสงสัยกันไว้มาก ก็คือ โครงการนี้สุดท้ายแล้ว อาจเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่มากกว่า ร้านค้าปลีกขนาดเล็กจะมีปัญหา เพราะในอดีตเมื่อเคยเข้าร่วมโครงการในสมัยรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ปรากฏว่าบางรายถูกประเมินภาษีเพิ่มขึ้น จึงอาจเป็นอุปสรรคที่ร้านค้าขนาดเล็กจะเข้าร่วมโครงการ นอกจากนี้ โครงการดังกล่าว ได้ตัดพ่อค้ารายย่อยตามหัวมุมถนน เปิดท้ายรถ พ่อค้าแม่ขายเท้าเปล่าในตลาดข้างบ้าน ออกไปโดยสิ้นเชิง  โครงการนี้ทำไปทำมาก็จะไปเอื้อประโยชน์แก่ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่มากกว่า เท่ากับเป็นการเพิ่มปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยมากยิ่งขึ้น

สำหรับพรรคไทยสร้างไทย เรามองว่าปัญหาที่สำคัญของประเทศในระยะใกล้นี้ ก็คือการที่ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ ประเทศเราเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศแรกที่มีสัดส่วนประชากรผู้สูงวัยสูงที่สุดในโลก  และโชคร้ายยิ่งกว่าคือคนแก่ไทยส่วนใหญ่ “แก่ก่อนรวย”  คือมีฐานะยากจน และสุขภาพไม่ดี  เราจะปล่อยให้ประเทศไทยเต็มไปด้วยคนแก่ที่ยากจน และสุขภาพไม่ดีไม่ได้

เพราะหากปล่อยให้เป็นเช่นนั้น ประเทศเราคงจะพัฒนาต่อไปไม่ได้อย่างแน่นอน  นอกจากจะมีปัญหาคนในวัยทำงานลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ  เรายังต้องเผชิญกับปัญหาการที่รัฐต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากไปกับการดูแลรักษาพยาบาลผู้สูงวัย การเตรียมตัวในเรื่องนี้เป็นเรื่องจำเป็น ภาระการใช้จ่ายทางด้านสวัสดิการและสาธารณสุขจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก รัฐบาลจึงควรจัดสรรงบประมาณอย่างมีคุณภาพ และให้ความสำคัญในเรื่องมาตรการรองรับสังคมผู้สูงวัย ให้เป็นนโยบายในระดับต้นๆ  

ดังนั้นการดำเนินการของรัฐบาลจึงขอให้ทำอย่างรอบคอบ และรับฟังเสียงของผู้เห็นต่างเพื่อนำมาพิจารณา ปรับปรุงแก้ไขนโยบายให้การกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้เงินภาษีของประชาชนมหาศาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด