posttoday

"เศรษฐา" ลงพื้นที่ชมบั้งไฟพญานาค ย้ำประเทศไทยมีนายกฯคนเดียว

29 ตุลาคม 2566

นายกฯ ตรวจราชการ จ.อุดรธานี ก่อนร่วมพิธีเปิดงานประเพณีออกพรรษา ชมบั้งไฟพญานาค จ.หนองคาย เย็นนี้ พร้อมแจงทำท่าคล้ายจุมพิตมือ 'แพทองธาร' เป็นการแสดงออกถึงความเป็นห่วง-เคารพซึ่งกัน เหตุต่อสู้ร่วมกันมา ยันไม่ถูกครอบงำ ลั่นประเทศไทยมีนายกฯคนเดียว

วันที่ 29 ต.ค. 2566 เวลา 12.00 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางลงพื้นที่ตรวจราชการ ที่ จ.อุดรธานี พร้อมร่วมพิธีเปิดงานประเพณีออกพรรษาและบั้งไฟพญานาคโลก ประจำปี 2566 รวมถึงร่วมชมปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค ที่ จ.หนองคาย โดยมี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ข้าราชการการในพื้นที่ มารอต้อนรับ ที่ท่าอากาศยานทหารกองบิน 23 อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี มีข้าราชการการในพื้นที่มารอต้อนรับ

สำหรับการลงพื้นที่ของ นายกรัฐมนตรี ใช้รถยนต์อัลพาร์ด สีดำ หมายเลขทะเบียน กล 5558 อุดรธานี ในการลงพื้นที่ โดยจุดแรก นายกฯ พร้อมคณะ ไปตรวจเยี่ยมติดตามความคืบหน้าโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยปากแบ่ง พร้อมระบบส่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่ โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยปากแบ่งพร้อมระบบส่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในพื้นที่ตำบลหมากหญ้า อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี

จากนั้นนายกฯ จะไปประชุมติดตามประเด็นปัญหาการส่งออก ขั้นตอนพิธีการศุลกากร การค้าชายแดนและการพัฒนา One Stop Service ระหว่างราชอาณาจักรไทย กับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) และสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่สำนักงานศุลกากรหนองคาย อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย

ส่วนในช่วงเย็น 17.00 น. นายกฯ ไปเป็นประธานพิธีเปิดงานประเพณีออกพรรษาและบั้งไฟพญานาคโลก ประจำปี 2566 (Naga Fire Miracle of Faith) ที่ลานนาคาเบิกฟ้า และเป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เนื่องในงานประเพณีออกพรรษา ตำบลจุมพล อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ก่อนไปร่วมชมปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค บริเวณพุทธอุทยานนานาชาติ (ปทุมรัตน์ธรรมเจดีย์) ตำบลกุดบง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย

ขณะที่วันพรุ่งนี้ 30 ต.ค. 2566 นายกฯ จะเดินทางไปเยือนสปป.ลาว อย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของ นายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรี สปป. ลาว เพื่อสานต่อการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือของสองประเทศ และร่วมพิธีเปิดสถานีรถไฟเวียงจันทน์ (คําสะหวาด) ซึ่งเป็นโครงการภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลสองประเทศ รวมถึงพบกับนายทองลุน สีสุลิด ประธานประเทศ สปป. ลาว และเลขาธิการใหญ่คณะบริหารงานศูนย์กลางพรรคประชาชนปฏิวัติลาว กับนายไซสมพอน พมวิหาน ประธานสภาแห่งชาติ สปป.ลาว ด้วย ก่อนเดินทางกับประเทศไทย

ส่วนกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ภาพท่าทางจับมือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และโน้มตัวก้มลงคล้ายจูบมือนั้น จนทำให้มีผู้ตั้งคำถามว่าตอนนี้ประเทศไทย มีนายกรัฐมนตรี 2 คนหรือไม่ นั้น นายเศรษฐา กล่าวว่า จริงๆแล้วความสัมพันธ์ระหว่างตนกับ น.ส.แพทองธาร เรามีกันมานานในฐานะพี่น้อง น.ส.แพทองธาร เป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ตนก็เป็นที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และเราเองก็ต่อสู้ด้วยกันมา รวมทุกข์ร่วมสุขเวลาเสียงกันมา เรามีความรัก เรามีความเมตตา เรามีความเอ็นดู และเราก็มีความเป็นห่วงซึ่งกันและกัน 

มันเป็นการแสดงออกของคนสองคนที่เรามีความเป็นห่วงและเคารพซึ่งกันและกันอยู่แล้ว และงานวันนั้นผมก็ไปในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทย เราอยู่ในสถานะครอบครัว ท่าน สส. และรัฐมนตรีในวันนั้นก็ถอดหมวก ถอดหัวโขนออกไปเพราะเราเป็นครอบครัวเดียวกัน พร้อมยืนยันว่าไม่มีสิ่งใดและไม่เป็นนัยยะว่าท่านมาครอบงำผม หรือผมอะไรทั้งสิ้น ซึ่งไปถาม น.ส.แพทองธาร ดูแล้วกัน ผมก็ระมัดระวัง

พร้อมชี้แจงว่ามันเป็นสัญลักษณ์มากกว่า และหากดูให้ดีๆก็ไม่ได้จุมพิตที่มือ น.ส.แพทองธาร เพราะตนเอามือไปลองอยู่แล้ว พร้อมย้ำว่ามันเป็นความรัก ความเอ็นดู ความผูกพันและเป็นความเป็นห่วงซึ่งกันและกัน พร้อมขอว่าอย่าขยายความเรื่องนี้ต่อดีกว่า และบอกว่ามันเป็นเรื่องครอบครัวดีกว่า มันเป็นครอบครัวเพื่อไทย แล้ววันนี้ตนก็มาสวมหมวกนายกฯ ซึ่งตนก็บริหารจัดการหน้าที่ตัวเองไป ส่วน น.ส.แพทองธาร เป็นรองประธานคณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ก็ต้องบริหารจัดการหน้าที่ตัวเองไป พร้อมย้ำว่าเราเข้าใจกันดีไม่มีปัญหาอะไร ประเทศไทยมีนายกฯคนเดียวครับ