posttoday

'ปกรณ์วุฒิ'เปิดข้อมูล'ศักดิ์สยาม'ซุกหุ้นเพิ่มไม่เกี่ยวกดดัน'ภูมิใจไทย'

25 กรกฎาคม 2566

ปกรณ์วุฒิ เปิดหลักฐานคดีซุกหุ้นศักดิ์สยามเพิ่มเติม พบหนี้ 38ล้านบาทไม่สอดคล้องงบการเงินหจก.บุรีเจริญฯโดยไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สินก่อนรับตำแหน่งปี62 พร้อมยื่นคำร้องให้ป.ป.ช.ตรวจสอบ ยันไม่เกี่ยวกดดันไม่เอาภูมิใจไทย เชื่อไม่กระทบการจัดตั้งรัฐบาล

นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์กุล ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เปิดแถลงข่าวข้อมูลเพิ่มเติมกรณีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย  ซุกหุ้นจนนำไปสู่การถูกสั่งหยุดปฎิบัติหน้าที่ชั่วคราว พร้อมนำข้อมูลที่ได้แถลงข่าวนี้ส่งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินของนายศักดิ์สยามด้วย 

คลิ๊กฟังการแถลงข่าว 

นายปกรณ์วุฒิ เปิดเผยว่า ได้รับเอกสารชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาเมื่อ 3-4 สัปดาห์ก่อน ตนพบพิรุธหลายจุด พบหลักฐานใหม่ว่ามีหนี้สินคงค้างกับห้างหุ้นส่วนฯ ในวันเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี และไม่ได้ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. มีข้อมูลว่าเคยกู้เงิน 2558-2559  จำนวน 4 ครั้ง ในวงเงิน  108.4 ล้านบาท มีสัญญากู้ยืมเงิน และชำระหนี้คืนทั้งก้อน 22 เม.ย 2562 ก่อนเข้ารับตำแหน่ง 33 วัน โดยอ้างอิงว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อปี 2565 ซึ่งได้อภิปรายถามว่าหนี้สินที่นายศักดิ์สยามมีกับห้างหุ้นส่วนแห่งนี้ ได้โอนออกพร้อมกับการโอนหุ้นหรือไม่ แต่ไม่เคยได้รับคำตอบ
 

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า ข้อมูลดังกล่าวที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดไม่เปิดเผย ชี้เห็นว่า หลังจากการโอนหุ้นแล้วไม่มีการโอนหนี้สินก้อนนี้ออกไปด้วย เอกสารเป็นการมัดตัวว่าหนี้สินจำนวนนี้ยังเป็นของนายศักดิ์สยามอยู่หลังการโอนหุ้นเมื่อปี 2561 จึงเกิดคำถามว่ามีการชำระหนี้คืนเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2562 จริงหรือไม่ 

ด้วยเพราะงบการเงินของห้างหุ้นส่วนสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2562 ระบุชัดเจนว่ายังมีเงินให้ในส่วน  ผู้จัดการกู้ยืมคงค้างอยู่38 ล้านบาท จากนั้นยอดหนี้สินจึงถูกปิดลงเหลือ 0 บาท ในงบการเงินสิ้นปี 2563 ซึ่งการปิดงบจะต้องสอดคล้องกับเอกสารและยอดเงินในธนาคารทั้งหมดของห้างหุ้นส่วน เพราะจะต้องยื่นต่อหน่วยงานราชการตามกฏหมาย

"จึงเป็นไปได้ว่านายศักดิ์สยามเป็นหนี้ห้างหุ้นส่วนอยู่ 38 ล้านบาทในสิ้นปี 2562 และไม่ได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. สมมติมองในแง่ดีวันที่ 22 เมษายน 2562 มีการโอนเงิน 108 ล้านบาท ให้ห้างหุ้นส่วนตามเอกสาร"

นายปกรณ์วุฒิ ยังกล่าวว่าพิรุธในประการต่อไป เมื่อพิจารณาเอกสารชี้แจงจะพบว่าห้างหุ้นส่วนได้ระบุว่านายศักดิ์สยามกู้ยืมเงิน 4 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2559 2560 2561 ระบุยอดตรงกัน 69 ล้านบาท ซึ่งตรงกับการกู้ยืมครั้งที่ 3-4 รวมกัน แต่การกู้เงินครั้ง 1-2 เป็นจำนวนเงิน 39 ล้านบาท ตั้งคำถามทำไมไม่เคยปรากฏในงบการเงินแม้แต่ครั้งเดียว และยอดเงินจำนวนดังกล่าวมาจากไหน

พร้อมกันนี้ได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ ว่าอาจไม่ได้มีการชำระหนี้และยังมียอดหนี้คงค้างตามงบการเงิน จึงใช้วิธีหายอดเงินที่มีการโอนเข้าห้างหุ้นส่วนจริงๆซึ่งอาจเป็นการทำทุรกรรมเพื่อการอื่นมากล่าวอ้างว่าเป็นการใช้หนี้ แต่ยอดเงินดังกล่าวไม่ตรงกับ 69 ล้านบาท จึงต้องสร้างยอดหนี้ใหม่ที่ไม่เคยปรากฏ ทำสัญญาเงินกู้ขึ้นมา ที่ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญนั้นมีการติดอากรแสตมป์ที่จะมีการประทับวันที่มีผลทางกฎหมายเป็นทางการหรือไม่ โดยชี้ว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของ ปปช. ที่จะสืบสวนต่อไป และข้อสงสัยมากที่สุดคือ ตัวเลขในการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินไม่สอดคล้องกับการขายหุ้นของห้างหุ้นส่วนดังกล่าว หากขายจริงและได้รับเงิน 120 ล้านบาทจริงในเดือนมกราคม 2561 เหตุใดในการยื่นทรัพย์สินในช่วง 16 เดือนหลังจากนั้นกลับมีเงินสดซึ่งเป็นเงินฝากเพียงจำนวน 76 ล้านบาท ซึ่งหากเป็นตัวเลขจริงอาจเป็นการใช้เงิน ที่ไม่ใช่การซื้อทรัพย์สินอย่างน้อย 40 ล้านบาทภายใน16 เดือน และตัวเลข 40 ล้านบาทตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่าก่อนเดือนมกราคม 2561 นายศักดิ์สยามไม่มีเงินเลยแม้แต่บาทเดียว 

พร้อมหยิบยกคำชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจของนายศักดิ์สยามว่าเงินจากการขายหุ้นเป็นเรื่องส่วนตัวที่จะนำไปใช้ จึงไม่จำเป็นรายงานต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงตั้งข้อสงสัยว่า หากมีการจ่ายเงินคืนหนี้สิน 22 เมษายน 2562 เหตุใดนายศักดิ์สยามจึงไม่นำข้อมูลหลักฐานมาชี้แจงในสภา ซึ่งหนี้สินก้อนนี้คือฟางเส้นสุดท้ายในการยึดโยงนายศักดิ์สยามกับห้างหุ้นส่วนแห่งนี้ 

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า หากมีการชำระหนี้ไปแล้วจริงจะเป็นหลักฐานสำคัญว่าได้ตัดขาดจากห้างหุ้นส่วนแห่งนี้โดยเด็ดขาด และจะสามารถหักล้างข้อสงสัยได้ทันทีทันใด และยอมรับว่าจะกลายเป็นมาติดทำให้ตนเองนั้นถูกน็อคกลางสภา แต่นายศักดิ์สยามไม่ชี้แจงว่านำเงินจากการขายหุ้นมาใช้คืนหนี้สินให้กับทางหุ้นส่วนจำกัดแห่งนี้มูลค่า 108 ล้านบาท  

นอกจากนี้ยังระบุว่า ยังพบพิรุธในเอกสารที่ได้ส่งที่แจ้งต้องถามรัฐธรรมนูญหลายจุดเช่น นายศักดิ์สยามให้ขอเอกสารจากห้างหุ้นส่วนฯ เป็นเอกสารใบรับวางบิล หุ้นส่วนฯ ผู้จัดการคนใหม่ได้เข้ามาควบคุมเซ็นเอกสารตั้งแต่ต้นปี 2561 ตามที่มีการโอนหุ้นจริง 

พร้อมกันให้เปิดเผยว่า ได้ยื่นรายชื่อพยานต่อศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 22 คน และรายชื่อพยานเอกสาร  รายการเพื่อให้ซาลเรีบกเพื่อหักล้างคำขี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของนายศักดิ์สยาม และยังพบรายการเดินบัญชี 27 บัญชีของนายศักดิ์สยามและผู้เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันยังเปิดเผยว่าทีมีทีมงานเพื่อชี้เบาะแสผู้ที่น่าเชื่อว่ารวมกนกระทำความผิดฐานนฟอกเงินที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI จึงขอเรียกร้องไปยังองค์กรอิสระ ทั้ง ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ เรียกศรัทธาจากสังคมและการปฏิบัติ ปฏิบัติกับทุกคำร้อง  ตามกฎหมายตามกำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม และ มาตรฐานในการทำงานที่กำลังถูกสังคมจับจ้องตั้งคำถาม

นายปกรณ์วุฒิ บอกเพิ่มเติมว่า ประมาณ 9-10เดือนที่ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ ปปช. และฝั่งศาบรัฐธรรมนูญก็มีเวลาใกล้เคียงกันแต่มีความคืบหน้าไปแล้ว ตอนนี้รอเพียงศาลรัฐธรรมนูญเรียกพยานบุคคลไปให้ข้อมูลเพิ่มเติม

เมื่อถามว่าหากเทียงเคียงกับคดีของ สส.ก้าวไกลความรวดเร็วและการทำงานแตกต่างกันอย่างไร นทยปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า คงไม่ใช่แค่เรื่องนี้ และเรื่องนี้คงเป็นแค่เรื่องหนึ่ง หากย้อนไปตั้งแต่ยุคของ คสช.ที่มีการยื่นคุณสมบัติของรัฐมนตรีแต่ละกรณีพิจารณาไม่ต่ำกว่า300กว่าวันหรือบางทีก็มากกว่านั้น แต่หากเป็นเคสของพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล ก็จะค่อนข้างรวดเร็วอย่างที่เห็น 

ส่วนที่ต้องยื่นใหม่เอกสารอีกครั้งที่ปปช. เพราะเป็นหลักฐานเพิ่มเติม และเป็นเด็นที่แยกย่อยมาจากคำร้องครั้งที่แล้วในคดีซุกหุ้น จึงอยากให้ปปช.เรียกดูเอกสารตามอำนาจที่มีทั้งจากธนาคาร และเอกชน รวมถึงราชการที่จะมาเชื่อมโยงได้ว่าทั้งหมดที่มีการกล่าวอ้างจริงหรือไม่ และตัวเลขหนี้ที่คงค้างอยู่ในงบการเงินนั้น เป็นความผิดพลาดทางงบการเงิน หรือเป็นความผิดพลาดที่ไม่เคยมีการใช้หนี้มาก่อน

เมื่อถามว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับประเด็นการจัดตั้งรัฐบาลที่มีการพูดถึงพรรคอันดับที่ 3 จะมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลด้วยหรือไม่ เพราะมีการแถลงในช่วงที่เป็นกระแสเรื่องนี้ นายปกรวุฒิ กล่าวว่า ตนได้รับทราบว่ามีเอกสารชุดนี้เมื่อประมาณ 4สัปดาห์ที่แล้วจาก พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ และช่วงที่ผ่านมาตนก็ได้ยังไม่มีเวลาที่จะดูเรื่องนี้ แต่หลังจากเปิดประชุมสภาแล้ว และได้มีเวลาดูเอกสารประมาณ1สัปดาห์ ก็ทำเรื่องนี้เสร็จเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา จึงนำมาสู่การแถลงข่าว โดยไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องรออะไรในการที่จะไปยื่น เพราะหากรอไปเกิดมีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น อาจจะไม่ทันการ จึงคิดว่าจะต้องยื่นเลย

ส่วนจะกระทบไปยังการจัดตั้งรัฐบาลที่มีการขอเสียงพรรคภูมิใจไทยหรือไม่นั้น มองว่า เป็นการทำหน้าที่ตามปกติ เพราะตนก็ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ ตั้งแต่ปีที่แล้ว และยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเอง รวมไปถึงยื่นต่อปปช.และศาลรัฐธรรมนูญเอง ดังนั้นไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไม่ทำ  ส่วนเรื่องการร่วมรัฐบาลหรือไม่ร่วมรัฐบาล เราเคยประกาศชัดเจนอยู่แล้ว ว่าต่อให้พิธา เป็นนายก  หรือไม่ได้เป็นนายก ก็จะตรวจสอบระญมตรีทุกคน ไม่เว้นแม้แต่รัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล รวมไปถึงประเด็นเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต ที่ได้เซ็นต์ไว้ในMOUของ8พรรคร่วมด้วย

ส่วนจะเป็นการสื่อสารว่าไม่เอาพรรคภูมิใจไทยหรือไม่นั้น นายปกรณ์วุฒิ ย้ำอีกว่า จริงๆก็ไม่ใช่ไม่ว่าเราจะร่วมหรือไม่ร่วม ในท้ายที่สุดเราก็ต้องทำงานตรวจสอบพรรคร่วมรัฐบาลทุกคน รวมไปถึงพรรคตัวเองด้วยที่เข้าไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี หากมีมีพฤติกรรมอย่างไรที่ไม่ดีหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเจรจา เพราะการเจรจาร่วมรัฐบาลในตอนนี้เป็นหน้าที่ของพรรคเพื่อไทยและทีมเจรจาของพรรคก้าวไกล ซึ่งตนไม่ได้อยู่ในทีมเจรจา 
  
เมื่อถามว่า ยอมรับหรือไม่ว่า จะกระทบกับการจัดตั้งรัฐบาลนั้น มองว่า ไม่กระทบ เพราะถือว่าเป็นระบบปกติ ทุกคนทราบอยู่แล้วว่า ดีเอ็นเอของพรรคก้าวไกลเป็นแบบนี้ ตนคิดว่าถ้าพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลแะนายพิธา ได้เป็นนายก ภาพของการที่พรรคก้าวไกลตรวจสอบพรรครีวมระฐบาลด้วยกังเองคงไม่เป็นที่น่าแปลกใจเท่าไร ดังนั้นเมื่อเคยพูดแบบไหนก็ทำแบบนั้น ดีกว่าวันนี้แกล้งทำเป็นหลับหูหลับตาแล้ววันหนึ่งเรากลับมาตรวจสอบเขาอย่างเข้มข้น ตนคิดว่าเป็นภาพที่ดูไม่งามเท่าไร ซึ่งตนคิดว่าการตรวจสอบการทุจริตไม่มีเงลาที่ไม่เหมาะสม ในการยืนยันสิ่งที่ถูกต้อง

ส่วนจะบีบให้ทางเลือกเหลือน้อยลงหรือไม่ เพราะหากไม่เอาพรรค2ลุง ก็จะเหลือทางเลือกเดียวคือภูมิใจไทย โดยมีนายศีกดิศยามเป็น เลขาธิการพรรค นั้น นายปกรณ์วุฒิ ระบุว่า เป็นเรื่องของทีมเจรจาว่าจะไปเจรจาด้วยเงื่อนไขอย่างไร แต่เราก็ยืนยันตรงนี้ ว่าเราทำหน้าที่ของเราอย่างต่อเนื่อง ถ้าจะบอกว่าเราต้องรอการเจรจาให้จบก่อน ก็ไม่รู้ว่าการเจรจาจะจบเมื่อไหร่ แล้วจะต้องรอเรื่องที่เราตรวจสอบไว้นานแล้ว ไปอีกนานเท่าไร ดังนั้นจึงมองว่า ไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้ นอกจากทำไปตามกระบวนการตามปกติ

ทั้งนี้ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ว่านายศักดิ์สยาม จะยังคงตำแหน่งรัฐมนตรีอยู่เหมือนเดิมหรือไม่ เพราะจะมีผลในอนาคต หากคำร้องนี้มีคำวินิจฉัยว่าผิดจริง อย่างน้อยน้อยก็ไม่สามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้อีกอย่างน้อยสองปีจากนั้นในเวลา 11.30 น. นายปกรณ์วุฒิเดินทางไปยัง ป.ป.ช. เพื่อเยื่นหนังสือและเอกสารเกือบ100แผ่น ให้ตรวจสอบการยื่นบัญชีทรัพย์สิน ของนายศักดิ์สยามต่อไป