posttoday

เลือกตั้ง66: สุวัจน์ชูนโยบายเศรษฐกิจเป็นแม่เหล็กหาเสียงชาติพัฒนากล้า

03 มีนาคม 2566

'สุวัจน์ ลิปตพัลลภ' ตีโจทย์เลือกตั้ง66 ชาติพัฒนากล้า พร้อมเป็นพรรคนิช มาร์เก็ตชูความเชี่ยวชาญด้านแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เป็นแม่เหล็กในการหาเสียง

นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า ให้สัมภาษณ์พิเศษกับฐานเศรษฐกิจแบบ Exclusive ถึงแนวนโยบายของพรรคที่จะใช้เป็นแม่เหล็กสำคัญในการหาเสียง สำหรับการเลือกตั้ง66 ว่า การเลือกตั้งครั้งนี้แตกต่างจากการเลือกตั้งครั้งก่อน เพราะการเลือกตั้งในปี2562 เป็นการเลือกตั้งที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความขัดแย้ง ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของเศรษฐกิจ ทำให้วิธีคิดของพรรคการเมืองต่าง ๆ จะมองเรื่องของการสร้างความสงบ และแก้ปัญหาความขัดแย้งเป็นเรื่องหลัก 

ส่วนการเลือกตั้งในรอบนี้ แม้ว่าปัญหาด้านความขัดแย้งจะยังคงมีอยู่ แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น คือเรื่องของเศรษฐกิจ ทำให้พรรคการเมืองต้องคิดแนวนโยบายต่างๆ เพื่อมาแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจที่จำเป็นต้องเร่งแก้ไข หรือจะต้องเร่งกอบกู้ มีปัญหาเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอก ประกอบด้วย

ปัจจัยภายนอกประเทศ : ความเสียหายทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน ทั้งการกู้เงินมาสู้กับการระบาดของไวรัสโควิด จนทำให้ทุกประเทศทั่วโลกเกิดภาวะหนี้สิน นำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อ และมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย รวมทั้งสงครามระหว่างยูเครน-รัสเซีย เข้ามาเติมปัญหา จนทำให้ราคาน้ำมัน และราคาก๊าซธรรมชาติเพิ่มสูงขึ้น และเป็นชนวนเร่งให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งทะยาน ทั้งหมดนี้ยังไม่นับสงครามการค้า และการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ด้วย

ปัจจัยภายในประเทศ : ปัจจุบันประเทศไทยมีปัญหาหนี้สาธารณะต่อจีดีพีในอัตราที่สูง เช่นเดียวกับภาวะหนี้ครัวเรือนที่สูงกว่า 90% ผลพวงจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมากระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ซึ่งยังไม่กลับมาเท่าเดิม ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยไม่สามารถขยายตัวได้เต็มศักยภาพ และไม่ได้เป็นผู้นำในกลุ่มชาติอาเซียน 

“ปัญหาทั้งหมดทำให้มองเห็นสภาพโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และสภาพทางภูมิรัฐศาสตร์ ตั้งแต่เงินเฟ้อ เศรษฐกิจถดถอย  และดอกเบี้ย น้ำมัน ก๊าซราคาแพง ซึ่งจะมีผลต่อการเคลื่อนย้ายการลงทุน การส่งออก มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ จุดที่ตั้งของการผลิตของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปหมด ปัญหาดังว่าที่ผ่านมาไม่เคยเกิดขึ้น แต่ตอนนี้กลับเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน”

ในมุมของพรรคชาติพัฒนากล้า จะเน้นเรื่องของนโยบายเศรษฐกิจมากกว่านโยบายอื่น ขณะเดียวกันพรรคเองก็ไม่ใช่พรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่จะมีนโยบายครอบคลุมการแก้ปัญหาประเทศทุกมิติ แต่จะขอเป็นแบบ "นิช มาร์เก็ต" หรือ Niche Market เป็นพรรคที่มีมุมเฉพาะ มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ หรือเป็นหมอ ก็ขอเป็นหมอโรคเฉพาะทาง โดยเน้นการแก้ไขปัญหาทางด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก

ด้วยเหตุนี้พรรคชาติพัฒนากล้า จึงใช้เวลาที่ผ่านมากว่า 3 เดือนเคี่ยวนโยบายทางด้านเศรษฐกิจจนได้ที่ ซึ่งทั้งหมดยอมรับว่า ได้ถูกผลักดันออกมาจากประสบการณ์ทางการเมืองกว่า 30 ปี รวมทั้งระดมสมองจากสมาชิกพรรค นักวิชาการ เอาปัญหาทางด้านเศรษฐกิจมากางดู จนสรุปออกมาได้ 12 เรื่อง เพื่อรื้อโครงสร้างเศรษฐกิจรองรับอนาคต พร้อมทั้งหาจุดแข็งใหม่ของประเทศไทยให้เจอ

นโยบายหลัก ๆ ที่พรรคประกาศออกมาคือ เศรษฐกิจเฉดสี หรือ Spectrum Economy ตั้งเป้าหมายหารายได้เข้าประเทศ 5 ล้านล้านบาท ผ่านการดึงสิ่งที่มีอยู่แล้วขึ้นมาหารายได้อย่างถูกต้อง ครอบคลุมเศรษฐกิจกลุ่มต่าง ๆ ทั้ง เศรษฐกิจสร้างสรรค์ เศรษฐกิจสีเงิน เศรษฐกิจสีเทา เศรษฐกิจสีขาว เศรษฐกิจสีรุ้ง เศรษฐกิจสายเทคโนโลยี เศรษฐกิจสีเขียว และเศรษฐกิจสายมู

ส่วนนโยบายอื่น ๆ มีทั้ง เพื่อแก้ปัญหาให้กับภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาติดเครดิตบูโร ได้มีลมหายใจต่อยอดทำธุรกิจสร้างเนื้อสร้างตัวผ่านการจัดทำระบบการให้คะแนนเครดิต (Credit Scoring) ผู้ที่มีเงินเดือน 4 หมื่นบาทแรกไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รื้อโครงสร้างพลังงาน และเดินหน้าเจรจากับกัมพูชาในโครงการร่วมในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา เพื่อหาแหล่งพลังงานสำรองใหม่ให้ประเทศ

ขณะที่ภาคการเกษตร ต้องสนับสนุนการนำเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มรายได้ พร้อมกับการเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวอีกเท่าตัว จาก 2 ล้านล้าน เป็น 5 ล้านล้านบาท โดยให้นักท่องเที่ยวอยู่นาน ใช้จ่ายเพิ่ม อีกเรื่องที่คอยสนับสนุนนั่นคือ การสร้างมอเตอร์เวย์ทั่วไทย 2,000 กิโลเมตร เพื่อกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวกระจายไปในภูมิภาคต่าง ๆ 

ส่วนด้านอื่นที่ไม่ใช่เศรษฐกิจ เช่น ด้านสังคม จะส่งเสริมการทำงานของผู้สูงอายุต้อนรับสังคมผู้สูงวัย ทั้งภาครัฐและเอกชน หรือการสร้างเถ้าแก่รายใหม่ผ่านกองทุนที่จะเข้ามาช่วยเหลือเรื่องของเงินทุนในการประกอบธุรกิจต่อไป

“วิธีที่จะทำให้สำเร็จ คือต้องมองให้ออก มองให้ขาด และมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน นี่คือเรื่องเศรษฐกิจที่เราเน้น” ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว