posttoday

แคมเปญเพื่อไทย ค่าแรงขั้นต่ำ600 ป.ตรี25,000 ทำได้จริงหรือ

08 ธันวาคม 2565

ฟังความรอบด้านวิเคราะห์ให้ถึงแก่น ค่าแรงขั้นต่ำ600 ป.ตรี25,000 ทำได้จริง? กับนโยบายหาเสียงของเพื่อไทย สำหรับใช้ในการณรงค์เลือกตั้งปี2566

การรณรงค์การเลือกตั้งปี2566 พรรคเพื่อไทย เปิดแคมเปญ  คิดใหญ่ ทำเป็น  เพื่อไทยทุกคน ผ่าน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมพรรคเพื่อไทย

การเลือกตั้งครั้งหน้า หากเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล ภายในปี 2570 น.ส.แพทองธาร ให้คำมั่นว่า คนไทยต้องได้ค่าแรงให้สมกับความเป็นมนุษย์มีเกียรติมีศักดิ์ศรี 600 บาทต่อวัน คนที่จบปริญญาตรี เริ่มต้นที่ 25,000 บาทต่อเดือน นโยบายนี้ถือเป็นธงนำเท่ากับเพื่อไทยมองทะลุถึงโอกาสโกยคะแนนเสียงจากคนระดับฐานรากและคนรุ่นใหม่ แถมมองข้ามช็อตต่อไปในการเลือกตั้ง หลังปี 2570 จะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกสมัย

หลังการเปิดแคมเปญนี้ปรากฎความเคลื่อนไหว"โทนี วู้ดซัม" นายทักษิณ ชินวิตร อดีตนายกรัฐมนตรีคุยผ่านเพจเฟซบุ๊ก ‘Care คิด เคลื่อน ไทย’ว่า  หากเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลและบริหารโดยไม่มีกระบวนการก่อกวน  ไม่ใช่แค่จ่ายค่าแรงขั้นต่ำ600 บาท 800 บาทยังทำได้

ขณะที่ฝ่ายสนับสนุนเห็นว่า นโยบายเรื่องค่าแรงขึ้นต่ำ600 ปริญญาตรี25,000 ถือเป็นการโจทย์ประชาชน ต่างคาดหวังว่า หลังเลือกตั้งรอบใหม่จะมีเงินในกระเป๋าเพิ่มมากขึ้นและได้รับสวัสดิการที่ดีกว่าเดิมในช่วงที่ผ่านมา หลังจากที่ต้องประสบกับภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองจากโควิดระบาดในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาสถานการณ์โลก สงครามยูเครน รัสเซีย

ทว่า คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กลับไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้มองว่า เศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มยังไม่ฟื้นตัวจากโควิด หากทยอยขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 600 บาทต่อวัน จากปัจจุบันที่ค่าแรงเฉลี่ยอยู่ที่ 328 – 354 บาทต่อวันก็จะทำให้ต้นทุนภาคธุรกิจปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 70% ภาคธุรกิจอาจปรับตัวไม่ทัน ที่น่าห่วงคือ SMEs  ยังคงมีปัญหาด้านรายได้และสภาพคล่องในช่วงที่เศรษฐกิจไทยเพิ่งเริ่มฟื้นตัว อัตราเงินเฟ้อสูงทั่วโลก และมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอาจทำให้ SMEs หยุดหรือยกเลิกกิจการ เพราะแบกรับต้นทุนไม่ไหว 

ส่วนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่คงต้องมีการทบทวนแผนการจ้างงาน การชะลอการลงทุนในระยะสั้น หรือแม้แต่การนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้แทนแรงงาน รวมถึงการลงทุนตรงจากต่างประเทศที่อาจชะลอลงเพราะต้นทุนค่าแรงของไทยสูงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศคู่แข่ง ซึ่งส่วนนี้จะกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ส่วนแรงงานที่มีทักษะสูงในปัจจุบัน ต่างมีค่าจ้างที่สูงและมีความเหมาะสมอยู่แล้ว 

ดังนั้น จึงควรมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะให้กับแรงงานที่ยังคงมีทักษะไม่สูงมากนักและเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity) เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของตลาดแรงงานในปัจจุบันควบคู่ไป และควรคำนึงถึงแรงงานที่ได้รับผลประโยชน์จากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้ เนื่องจากแรงงานปัจจุบันไทยอาศัยแรงงานต่างด้าวภาคการผลิตและอุตสาหกรรมต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ทำให้ความมุ่งหวังของการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอาจจะไม่ได้ส่งผลต่อแรงงานไทยมากเท่าที่ควร

กกร.ยังเห็นว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำตามภาวะของสถานการณ์เศรษฐกิจ และขึ้นอย่างมีขั้นมีตอนยังคงมีความจำเป็น การปรับขึ้นค่าจ้างควรมีความสอดคล้องกับการสร้างเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge-based economy) และการพัฒนาทักษะ (Up-skill and re-skill) ของลูกจ้าง รวมถึงขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การลดความเหลื่อมล้ำซึ่งต้องพิจารณาถึงความสมดุลของค่าจ้าง ทั้งในมุมของนายจ้างและลูกจ้าง และควรอยู่บนพื้นฐานของทักษะ องค์ความรู้และประสิทธิภาพของแรงงาน (Pay by Skill) รวมถึงการจูงใจให้เกิดการเพิ่มผลิตภาพของแรงงาน  

ทั้งนี้ นโยบายทั้งหมดที่กล่าวมาของเพื่อไทยยังไม่เกิดผลใดๆในทางปฎิบัติในตอนนี้ และความเห็นต่างของกกร.ก็คือการแสดงความห่วงใยในสภาวะเศรษฐกิจยุคปัจจุบัน แคมเปญนี้จะทำได้จริงหรือแค่นโยบายขายฝัน ก็คงต้องไปวัดกันหลังการเลือกตั้งว่า เพื่อไทยจะได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้กลับมาเข้ามีที่นั่งในสภาด้วยจำนวนเสียงที่มากพอสำหรับการตั้งรัฐบาลเพื่อสานนโยบาย คิดใหญ่ ทำเป็นได้หรือไม่.
 

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์ชู 3 แกนพัฒนาคน รับรางวัล HR Leader for Social Impact 2025