"แพทองธาร" แจงขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ600 ทำได้จริงเศรษฐกิจต้องดีก่อน

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะกรรมการนโยบายเพื่อไทยและนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ร่วมแถลงชี้แจงเพิ่มเติมกรณีนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท และปริญญาตรี 25,000บาท 

นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า การจะขึ้นค่าแรงได้เศรษฐกิจต้องเติบโตไปพร้อมกันและไม่ได้ใช้จากงบประมาณแผ่นดิน
ส่วนตัวเข้าใจถึงข้อถกเถียงในประเด็นนี้ เศรษฐกิจขณะนี้ยังไม่ดี หากจะเพิ่มค่าแรงทันทีจะทำให้เป็นภาระของผู้ประกอบการ ดังนั้น หากยังรวยกระจุก จนกระจายไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจทั้งประเทศดีขึ้นได้ แต่พรรคเพื่อไทยคิดใหญ่ และจะพัฒนาทั้งระบบ ซึ่งนโยบายแรกที่จะทำก่อนคือ ทำเศรษฐกิจให้ดีทั้งระบบ เมื่อเศรษฐกิจดีค่าแรงจะปรับขึ้นได้

"การปรับค่าแรงนั้น ไม่ใช่ปรับเป็น 600 ทันทีเมื่อพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เพราะหากทำเช่นนั้นคือการใช้งบประมาณ แต่เราจะไม่ได้ใช้งบประมาณ จะพยายามทำเศรษฐกิจให้ดีขึ้น ซึ่งในการแสดงวิสัยทัศน์เพื่อจะทำให้เห็นว่า เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น จะมีผลดีต่อไปอย่างไรบ้าง" นางสาวแพทองธาร กล่าว

ด้านนายพรหมินทร์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยคำนึงถึงรายได้ประชาชน รายได้ประเทศที่ยังต่ำ และสังคมยังมีความเหลื่อมล้ำอยู่ จึงตั้งเป้าเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และการที่หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยพูดถึง 10 นโยบาย มีความร้อยเรียงกันอยู่ การขึ้นค่าแรงจะขึ้นทีละขั้นตอน แบบไตรภาคี ปรับตามกลไกการเติบโตของเศรษฐกิจ เพื่อให้ประเทศเดินต่อไปได้ แต่ที่สำคัญคือต้องทำรายได้ให้มาก่อน ต้องส่งเสริมการท่องเที่ยว ปลดปล่อยศักยภาพภายใต้โครงการ 1 ครอบครัว 1 ซอฟพาวเวอร์ ที่จะสามารถสร้างรายได้ให้ได้ 2 แสนบาทต่อปี

"ขอให้มั่นใจว่า เราจะเติบโตไปด้วยกัน ผู้ประกอบการกับเราถือเป็นผู้ถือหุ้นร่วมกัน ตระหนักดีว่าองค์ประกอบของภาคธุรกิจเป็นส่วนผลักดันและสร้างรายได้ให้กับประเทศจะปรับค่าแรงได้ต้องทำให้เศรษฐกิจให้โตก่อนซึ่งวันนี้เริ่มวางแล้วว่าจะทำอะไรบ้างหากเศรษฐกิจโตแล้วจะสามารถปรับค่าแรงได้เพื่อไทยมีเหตุผลไม่ทำร้ายกลไกเศรษฐกิจที่โตพังทลายไปด้วยคำหวานๆที่ไปหาเสียงตามที่คนอื่นเขาทำกัน"

นายเผ่าภูมิ กล่าวเพิ่มเติมว่า วิสัยทัศน์ของนางสาวแพทองธาร ที่มองค่าแรง 600 บาทต่อวันในปี 2570หากเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล จะยกระดับการผลิตที่เกิดจากการสร้างนวัตรกรรม ภาคการเกษตรสามารถกำหนดราคาได้ ยกระดับภาคการบริการที่สร้างรายได้ต่อหัวได้ ดึงการลงทุนจากต่างประเทศ ไม่ใช่จากแรงงานคุณภาพต่ำ หรือค่าแรงที่ถูกถึงกล้าเสนอนโยบาย ค่าแรง 600 บาทต่อวันนั้น คิดจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ผลิตภาพของแรงงาน และเงินเฟ้อ โดยค่าแรงต้องปรับตามปัจจัยเหล่านี้ไปเรื่อยๆ เมื่อตั้งเป้าจีดีพี 5% หากไม่ปรับค่าแรงขึ้นจะทำให้ช่องหว่างทางรายได้นั้นเพิ่มขึ้นไปด้วย การปรับค่าแรงต้องปรับคู่ขนานกับการดูแลผู้ประกอบการ โดยในสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สามารถปรับค่าแรง ดูแลผู้ประกอบการผ่านการลดภาษีนิติบุคคล ส่งผลให้สามารถประสบความสำเร็จได้ ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าเราทำได้ เคยทำมาแล้ว และจะทำอีกครั้ง

ที่ผ่านมามีการพูดถึงประเด็นปริมาณเงิน แต่ลืมพูดถึงความเร็วในการหมุนเงินในระบบ ซึ่งปัจจุบันไทยเงินหมุนช้าสุดในรอบ 20 ปีจึงจำเป็นต้องเพิ่มความเร็ว ซึ่งรายได้ 600 บาทต่อวัน จะเป็นหนึ่งในคำตอบ เมื่อเงินชนะภาระหนี้จะเกิดการใช้จ่ายเร็วขึ้น เป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยเคยทำมาแล้วในรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตรจึงต้องเร่งแก้ไขเรื่องนี้