posttoday

"กรณ์" ประกาศพร้อมเป็นนายกฯ นำนโยบายอีโคโนมีสเปกตรัม แก้เศรษฐกิจ

09 พฤศจิกายน 2565

กรณ์ จาติกวณิช ประกาศพร้อมเป็นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ด้วยนโยบายอีโคโนมีสเปกตรัม เพิ่มเงินในกระเป๋า ลดค่าครองชีพ แก้สินค้าแพง หั่นค่าพลังงาน ล้างหนี้และสร้างโอกาสใหม่ให้คนไทย

“พรรคชาติพัฒนากล้าของเราถ้าตามเป้าที่ส่งหมดก็ได้เก้าอี้ก็ร่วม 100 คน ซึ่งเราส่งเต็มจำนวนพื้นที่ก็มีที่กทม. โคราช นอกนั้น จะเลือกเขตโดยเน้นคุณภาพของผู้สมัคร ไม่ส่งทุกเขตเลือกตั้ง เพราะต้องการประสิทธิภาพในการทำงาน” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า “กรณ์ จาติกวณิช” กล่าวเปิดใจกับ Posttoday เป็นที่แรกสำหรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงประกาศความพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย

ล้างหนี้สิ้น แก้ของแพง หั่นค่าครองชีพ

"กรณ์" เผยว่า เป้าหมายแรกอย่างเร่งด่วนที่สุดของพี่น้องประชาชนไทย 1.เรื่องปากท้อง อย่าง น้ำมันแพง ของแพง ค่าไฟแพง  2.หนี้สิน ในระบบเครดิตการ์ดและนอกระบบ สะท้อนความหมายให้เห็นถึง ‘เงินในกระเป๋าประชาชนที่ไม่เพียงพอ’ จากการ ‘ขาดโอกาสทำมาหากิน’ โดยการแก้ไขเริ่มจากหลักคิดง่ายๆ ไล่เรียงไปในแต่ละอาชีพว่ามีอะไรบ้าง แล้วเราดูว่ามันมีเรื่องอะไรที่เราทำแล้วคนอื่นแข่งกับเรายาก 

“ยกเรื่องสินค้าเกษตร เรื่องนี้มีนัยยะ เพราะว่าเรื่องอาหารเราเก่ง การเกษตรเราเก่ง แต่เกษตรกรยากจน ซึ่งตรงนี้บอกเลยว่ามันไม่ได้เป็นปัญหาเดี๋ยวนี้คนเลิกกินอาหาร คนเลิกให้ความสำคัญเรื่องสินค้าการเกษตร ตรงกันข้าม ประชากรโลกเพิ่มมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ กำลังซื้อโดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียเพิ่มมากยิ่งขึ้น ความต้องการสินค้าอาหารเกษตรที่คุณภาพสูงมากขึ้น ยิ่งเขารบกันระหว่างยูเครนกับรัสเซีย ตอนนี้อาหารขาดตลาด น้ำมันพืชก็ขาด แป้งสาลีก็ขาดตลาด 

“หรืออย่างเรื่องใบกระท่อม ชุมพรแหล่งผลิตที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ แต่จากเดิมก่อนจะมีการรณรงค์ให้มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย  ชาวบ้านซื้อขากกันกิโลกรัมละ 200-300 บาท ตอนนี้ลดลงมาเหลือ 50-100 บาทต่อกิโลกรัม ต้นกล้าที่แต่ก่อนแยงกันตอนนี้แจกฟรียังไม่มีใครเอา เพราะทุกคนปลูกได้อย่างเสรีแต่ไม่ได้ใครคิดเรื่องการผลักดันตลาด ไม่มีใครคิดเรื่องของการแปรรูปกระท่อมให้เป็นสินค้าบริโภคที่มีราคา คำตอบเรื่องนี้คือเพิ่มการลงทุนเพื่อให้เกิดการแปรรูปสินค้าที่ได้คุณภาพและราคา ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้กับทุกสินค้าทุกประเภท”

การแก้ไขปัญหาต่อมาคือการทำให้ประชาชน ‘ให้ขายตรงได้เอง’ ตัดพ่อค้าคนกลางหลายคนหลายตอน ให้กำไรภาคการเกษตรที่ราคาดีๆ ตกถึงมือเกษตรกรไม่ใช่โดนฟันกำไรหมดทั้งที่ผลิตแทบตาย โดยผ่านงบประมาณที่ไม่ใช่การจำนำ การประกันราคา ซึ่งจะสร้างผลพวงปัญหาการใช้งบประมาณมหาศาลทว่าคำตอบเงินในกระเป๋าก็ยังแบนแบบเดิมเหมือนที่ผ่านมา 

 

"กรณ์" ประกาศพร้อมเป็นนายกฯ นำนโยบายอีโคโนมีสเปกตรัม แก้เศรษฐกิจ

“เราสะสมความได้เปรียบเยอะมาก อย่างอุตสาหกรรมยานยนต์ ตลอดช่วงหลาย 10 ปี แม้แต่อย่างเวียดนามเองเขาก็ยังด้อยกว่าเราในหลายๆ ด้านในเรื่องนี้ เพราะเราได้เปรียบเรื่อง ซัพพลายเชน โลจิสติกส์ เราลงทุนในระบบขนส่ง ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อรองรับต่างประเทศตรงนี้มายาวนาน ต่อให้อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังจะเปลี่ยนเป็นรถยนต์ไฟฟ้า แต่ยังไงก็ยังต้องพึ่งพากระบวนทำให้เกิดสินค้าซัพพลานเชน ที่จะทำให้เรายังสามารถที่จะปรับตัวเป็นผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์เหมือนกับที่เราเคยเป็นผู้นำในเครื่องยนต์สันดาป 

“อุตสาหกรรมอะไรก็แล้วแต่เหล่านี้มันสะท้อนให้เห็นถึงประเด็นปัญหาหลักของชาติไม่ว่าจะเป็นการเกษตร อุตสาหกรรมพลังงานที่โยงไปของแพง เราจะบอกว่าอันนี้เป็นเพราะเศรษฐกิจโลกไม่ดีก็ไม่ใช่ทั้งหมด ต้นทุนพลังงาน น้ำมันดิบ มีขึ้นราคา ไม่ใช่ไม่ขึ้น แต่ว่าเพราะโครงสร้างราคาน้ำมันผิดเพี้ยนแต่แรก น้ำมันสำเร็จรูป ราคาน้ำมันหน้าปั๊มแพงเกินไป เนื่องจากค่าการตลาดมันสูงเกินไป อุตสาหกรรมอะไรก็แล้วแต่มันล้วนมีปัญหาระดับโครงสร้างที่รอการแก้ไขระดับการเมือง” อดีตรมว.การคลัง อธิบายปัญหาที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครหยิบยกมาพูดหรือแก้อย่างจริงจัง  

“ถ้าเราไม่ชนเองระดับโครงสร้างเราก็แก้อะไรไม่ได้ ประชาชนเขาแก้เองไม่ได้  เราพูดแล้วเราแสดงให้เห็นว่าเราพร้อมชนกับเรื่องแบบนี้ การเมืองเราจะมาลด แลก แจก แถม อย่างเดียวผมคิดว่าใครๆ ก็ทำได้ สร้างหนี้ไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็เป็นภาระของพี่น้องประชาชน แต่นั้นไม่ใช่พรรคชาติพัฒนากล้า เรามาก็เพื่ออยากที่จะทำเรื่องยากๆ แก้ปัญหาระดับโครงสร้าง เพื่อให้ประชาชนมีความรู้สึกมั่นใจในอนาคตของตน ฉะนั้นต้องเป็นนายกเท่านั้นถึงจะมีอำนาจแก้ได้”

‘ธุรกิจเฉดสี’ ผลิขุมทรัพย์

ยุทธศาสตร์ที่ 2 ของพรรคชาติพัฒนากล้าที่ขนนำแก้ปัญหาประเทศในเรื่องเศรษฐกิจให้พัฒนายิ่งขึ้นของกรณ์ จาติกวณิช พุ่งเป้าไปในเรื่องของความหลากหลายเป็นที่ตั้ง โดยสามารถแบ่งออกเป็นหลักง่ายๆ ให้พี่น้องคนไทยเห็นภาพด้วยเฉดสีต่างๆ  อาทิเช่น ธุรกิจสีขาวการเที่ยวสายมู ในช่วงที่ไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาด หลายจังหวัดหลายพื้นที่ล็อคดาวน์ แต่ผู้คนก็แห่เดินทางไปสักการะบูชาไอ้ไข่ จ.นครศรีธรรมราชกั นท่วมท้น วันๆ กว่า 50 เที่ยว

“สายมูห้ามมองข้าม ท่องเที่ยวตามวัดตามวา ยึดเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นแรงบันดาลใจในการท่องเที่ยว ซึ่งผมคิดว่าสำหรับคนเอเชียโดยเฉพาะเรื่องนี้ยังเป็นจุดเด่นมากๆ และยังเป็นสิ่งที่เราสามารถสร้างได้ทุกจังหวัด ทุกจังหวัดมีเรื่องราว มีตำนานของตัวเอง ด้วยเงินสนับสนุนจากภาครัฐบาล สร้างขึ้นมาให้เป็นเส้นทางการท่องเที่ยว เราก็จะเพิ่มโอกาสการทำมาค้าขายในพื้นที่นั้นได้”

หรือใน ‘ธุรกิจสีเทา’ ที่ต้องมีการขออนุญาตก็ที่ไม่เพียงกระตุ้นเม็ดเงิน หากแต่หยุดวงจรเงินรั่วไหลออกนอกประเทศและยังช่วยให้ลด ‘ผู้มีอิทธิพล’ ตัด ‘ปัญหาคอรัปชั่น’ ของเจ้าหน้าที่รัฐ รวมเป็น 3 ผลประโยชน์

“การพนันมันเป็นเรื่องที่เราปฎิเสธไม่ได้ มันมีประเด็นเรื่องบ่อนเถื่อนทั่วหัวหลักหัวเมือง ทั่วประเทศ ซึ่งมันเป็นแหล่งที่มาของเงินใต้ดิน แหล่งที่มาของผู้มีอิทธิพล แหล่งที่มาของการทุจริตคอรัปชั่นกับเจ้าหน้าที่ ทำไมยังไม่ยอมรับความจริง แล้วทำให้คาสิโนมันเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมาย มีใบอนุญาต ตรงนี้เราจะสามารถดึงคนไทยที่ตอนนี้เอาเงินบาทออกไปใช้ในคาสิโนที่ถูกกฎหมายของประเทศเพื่อนบ้านเราทุกประเทศเลยที่ล้อมรอบเราอยู่ ตั้งแต่ สิงคโปร์ มาเลเซีย เขมร ลาว พม่า มีหมด เพราะฉะนั้นทำไมเราไม่ดึงส่วนนี้เข้ามาในการที่จะมีใบอนุญาตคาสิโนที่ถูกต้องตามกฎหมายของเราเอง ซึ่งสามารถที่จะดึงเงินจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาตรงได้อีกต่างหาก 

“ทำคล้ายกับ ‘Marina Bay Sands Casino’ ในประเทศสิงคโปร์ ที่ไม่ใช่แค่คาสิโน แต่เป็นแหล่งท่องเที่ยวให้ครอบครัวได้มาพักผ่อนหย่อนใจในระดับเดียวกับ โครงการเดียวต้องลงทุนอย่างน้อย 3-4 แสนล้านบาท นั้นคือเงินลงทุน ยังไม่นับถึงการสร้างงาน ยังไม่นับถึงการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวในรีสอร์ทประเภทแบบนั้น เพราะฉะนั้นเราสามารถจะเลือกได้ แต่ผมไม่ใช่คำว่า เสรี เพราะผมไม่ส่งเสริมการพนัน เราเลือกได้ที่ไหนเป็นที่ๆ เหมาะสมในการที่จะทดลองดูว่าถ้าเราออกใบอนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมายมันมีผลบวกเทียบกับผลลบแล้วประเทศกำไรไหม”   

“อีโคโนมีสเปกตรัม (economy spectrum) ที่หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้าและอดีตรมว.การคลัง กล่าวมานี้ เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของเมืองไทยจากการที่เราเป็นประเทศท่องเที่ยว อีกทั้งยังสังคมเปิดกว้าง เพียงเติมกฎหมายให้ทันเท่านั้น เราจะได้ผลลัพธ์เงินไหลเข้าประเทศอย่างมหาศาล

“เรามองว่ากลุ่ม LGBTQ+ เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อมหาศาลระดับโลก ซึ่งประเทศไทยเป็นที่รู้กัน เราเป็นประเทศท่องเที่ยว นอกเหนือจากนั้นประเทศไทยเราก็เป็นสังคมที่เปิดกว้าง เรายอมรับคนทุกเพศสภาพ เพียงแต่กฎหมายยังตามไม่ทัน อย่าง เรื่องสมรสเท่าเทียม ยังตามไม่ทัน ความพร้อมในการยอมรับของคนไทยในตามธรรมชาติ เพราะฉะนั้นหลายเรื่องเราต้องปรับตามให้ทัน เพื่อเราจะได้มีภาพความชัดเจนส่งออกไปกับกลุ่ม LGBTQ+ ทั่วโลกว่าให้มาที่นี่ แค่เพียงส่วนครองตลาดการท่องเที่ยวโลก 5 -10% เราจะมีรายได้มหาศาล”