สธ.ย้ำหลัง1มี.ค.ผู้ป่วยโควิดใช้สิทธิUCEPรักษาต่อได้ รพ.ห้ามปฏิเสธ
สธ.เผยหลัง 1 มี.ค.ผู้ป่วยโควิดยังใช้สิทธิ UCEP รักษาได้ต่อไป หลังครม.ให้ทบทวน ย้ำ สถานการณ์ห้ามปฏิเสธผู้ป่วย ห้ามเรียกเก็บเงินมัดจำใดๆ และหากไม่มีศักยภาพรักษา ให้ส่งต่อผู้ป่วยไปยังสถานพยาบาลอื่น
เมื่อวันที่ 22 ก.พ. 65 นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขไปทบทวนเรื่องกระบวนการนำโรคโควิด-19 ออกจากการให้บริการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต (UCEP) ออกไปก่อน จากเดิมที่กำหนดจะเริ่ม 1 มี.ค.นี้ เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชน โดยเฉพาะเรื่องการติดต่อเพื่อรับการรักษา ช่องทางต่างๆ
ทั้งนี้ UCEP-Covid ยังมีผลอยู่ โดยขณะนี้ผู้ป่วยโควิดถือว่าเป็นผู้ป่วยฉุกเฉิน สถานพยาบาลต้องให้การดูแล ห้ามปฎิเสธ หากโรงพยาบาลไม่มีศักยภาพในการรักษาที่เพียงพอ ให้ส่งต่อผู้ป่วย และไม่สามารถเรียกเก็บเงินมัดจำได้
"ตอนนี้ยังใช้ UCEP-Covid เหมือนเดิม โดยจะมีการซักซ้อมกระบวนการต่างๆ เพื่อเตรียมพร้อม ส่วนกรอบเวลาในการทบทวนจะนำเข้าคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องและเสนอต่อไป" นพ.ธเรศ กล่าว
สำหรับ Hospitel ขณะนี้ยังมีให้บริการ 200 แห่ง มีเตียง 36,000 เตียง และยังให้บริการดูแลผู้ป่วยอยู่ ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่กทม. และปริมณฑล ทั้งนี้ หลังติดเชื้อเพิ่มขึ้นมีการเปิด Hospitel ประมาณ 2-3 แห่ง เนื่องจากมีอัตราการครองเตียงต่อที่ประมาณ 30% เท่านั้น
นพ.ธเรศ กล่าวถึงกระบวนการรักษา ปัจจุบันใช้การตรวจ Antigen Test Kit (ATK) เป็นหลัก หากมีผลบวกให้เข้ารับการรักษาพยาบาลใน Home Isolation (HI) และ Community Isolation (CI)
ทั้งนี้ มีบางบริษัทประกันต้องการผล RT-PCR ซึ่ง สธ. ได้แจ้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) แล้วว่าให้ทบทวนประเด็นนี้กับบริษัทประกัน
ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ในการรักษาผู้ป่วยโควิดยังรักษาตามสิทธิโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในอนาคตหากมีการปรับระบบเรื่องการบริการฉุกเฉิน ชี้แจงว่าโควิดเป็นโรคติดต่อที่สามารถรับบริการได้ทุกที่ ซึ่งเป็นนโยบายยกระดับบัตรทอง โดยบริการทั้งหมด ทั้งการดูแลที่บ้าน และชุมชน (HI/CI) หรือโรงพยาบาล หรือโรงแรม ระบบจะเข้าไปดูแลค่าใช้จ่ายให้
ส่วนกรณีที่ประชาชนไม่สามารถเข้าสู่ระบบการรักษาในระบบ 1330 ได้ เนื่องจากในวันที่ 21 ก.พ. ที่ผ่านมา มีประชาชนติดต่อเข้ามายัง สปสช. สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 45,009 สายในรอบ 24 ชม. ซึ่งปีที่แล้วสถิติสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 20,000 กว่าสายในเดือนส.ค. 64 ดังนั้นได้มีข้อสั่งการเพิ่มเติม ให้เพิ่มเจ้าหน้าที่รับโทรศัพท์อีก 150 คน
อย่างไรก็ตาม ในทุกวินาทีจะมีประชาชนรอสายประมาณ 50 สาย จึงขอให้ประชาชนที่ไม่สามารถติดต่อ 1330 ได้ แอดไลน์สปสช. @nhso เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ และส่งข้อมูลว่าติดเชื้อ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการ และไม่เป็นการเสียเวลาในการรอสาย
"กรณีที่ตรวจ ATK เป็นบวกให้ติดต่อหน่วยบริการเพื่อเข้ารับการรักษา หรือ 1330 หรือไลน์ หรือเว็บไซต์ของสปสช. เพื่อจับคู่หน่วยบริการเพื่อการรักษาต่อไป ซึ่งโรงพยาบาลจะจับคู่รับรักษาผู้ป่วยภายใน 6 ชั่วโมง" นพ.จเด็จ กล่าว
ส่วนแนวทางการคัดกรองในเดือนมี.ค. 65 จะมีการปรับปรุงหน่วยบริการในระบบการคัดกรองเพิ่มเติม และวันที่ 1 มี.ค. 65 จะมีการกระจายชุดตรวจ ATK ให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงตามร้านยาต่างๆ ซึ่งจะมีการสื่อสารในภายหลังต่อไป


