ปฏิบัติการฝนตกทั่วฟ้า ประชา(ธิปัตย์)นิยม
ตลอดปี 2553 ที่ผ่านมา รัฐบาล อภิสิทธิ์เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเกมรุกเดินหน้าแก้ไขปัญหาเรื่องหนี้สินให้กับภาคประชาชนแบบครบวงจร เริ่มจากการแก้ไขปัญหา “หนี้นอกระบบ” ที่สร้างความฮือฮาเมื่อ กรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง โหนกระแสละครยอดฮิตอย่าง“วนิดา” เอามาเปรียบกับการทวงหนี้โหด
ตลอดปี 2553 ที่ผ่านมา รัฐบาล อภิสิทธิ์เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเกมรุกเดินหน้าแก้ไขปัญหาเรื่องหนี้สินให้กับภาคประชาชนแบบครบวงจร เริ่มจากการแก้ไขปัญหา “หนี้นอกระบบ” ที่สร้างความฮือฮาเมื่อ กรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง โหนกระแสละครยอดฮิตอย่าง“วนิดา” เอามาเปรียบกับการทวงหนี้โหด
โดย...ทีมข่าวการเงิน
ตลอดปี 2553 ที่ผ่านมา รัฐบาล อภิสิทธิ์เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเกมรุกเดินหน้าแก้ไขปัญหาเรื่องหนี้สินให้กับภาคประชาชนแบบครบวงจร เริ่มจากการแก้ไขปัญหา “หนี้นอกระบบ” ที่สร้างความฮือฮาเมื่อ กรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง โหนกระแสละครยอดฮิตอย่าง“วนิดา” เอามาเปรียบกับการทวงหนี้โหด
ปรากฏว่ามียอดคนมาลงทะเบียนกว่า 1.1 ล้านราย ในจำนวนนี้มีลูกหนี้ที่สามารถโอนเข้าสู่ระบบธนาคารและอนุมัติสินเชื่อแล้วกว่า 45 แสนราย มูลหนี้เฉลี่ย 1 แสนบาทต่อราย ที่จ่ายดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อเดือน ผ่อนได้นานถึง 8 ปี
ประชาธิปัตย์คุยฟุ้งว่า สามารถประหยัดดอกเบี้ยให้ลูกหนี้และคนที่อยู่นอกระบบได้เดือนละ 5,000 บาท ถึง 1 หมื่นบาท หรือคิดเป็นเม็ดเงินรวมกันเดือนละ 3,000 ล้านบาท
ช่วยได้แค่ 1 ปี ประหยัดดอกให้ชาวบ้านไป 3.6 หมื่นล้านบาท
ยังไม่หนำใจ รัฐบาลเตรียมเปิดโครงการแก้หนี้นอกระบบรอบที่ 2 อีกครั้งในเดือน ก.พ. 2554 โดยจะโฟกัสไปยังลูกหนี้อีกกว่า 3 แสนราย ที่ธนาคารยังไม่อนุมัติ
สะระตะมิใช่สาระแน ประชาธิปัตย์กำลังปลูกพืชหวังผลในหัวใจคนที่กู้หนี้นอกระบบร่วม 8 แสนคน
แม้ว่าจนถึงขณะนี้บรรดาลูกหนี้ที่เข้าโครงการรอบแรกไปแล้วกลับมีบางส่วนเริ่มส่ออาการเป็นหนี้เน่ารอบที่ 2 ให้เห็นก็ตาม รัฐบาลก็สั่งเดินหน้าล่าคะแนนเสียง
นอกจากนี้ รัฐบาลยังเปิดตัว “บัตรลดหนี้ วินัยดีมีวงเงิน” ซึ่งกระทรวงการคลังได้ส่งมอบบัตรให้กับลูกหนี้นอกระบบที่ได้รับโอนหนี้เข้าระบบ เพื่อใช้ในการชำระหนี้ผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารที่ร่วมโครงการ และเมื่อผ่อนชำระคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยทุกเดือนครบ 1 ปี ถือว่าเป็นผู้มีวินัยทางการเงินดี
ธนาคารรัฐจะมีวงเงินสำรองฉุกเฉินให้ เท่ากับจำนวนครึ่งหนึ่งของเงินที่ผู้เข้าร่วมโครงการชำระคืนในแต่ละปี โดยผู้เข้าร่วมโครงการสามารถเบิกเงินสำรองฉุกเฉินด้วยบัตรลดหนี้ได้ไม่เกิน 4 ครั้งต่อปี
หากใครไม่ได้เบิกไปใช้ วงเงินดังกล่าวก็จะไปสมทบกับวงเงินในปีถัดไปให้สามารถสะสมได้ 4 ปี เพื่อให้ประชาชนมีเงินไว้ใช้จ่ายในยามจำเป็น ไม่ต้องไปกู้หนี้นอกระบบอีก
เป็นยุทธวิธีสกัดหนี้นอกระบบโผล่ขึ้นมาหลอกหลอนลูกหนี้ที่เข้าร่วมชำระสะสาง ล้างตัวแล้วกลายเป็นหนี้ดี
ปฏิบัติการชุดนี้หากสามารถมัดใจกลุ่มลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการ 4 แสนรายได้แค่ 50% ความดีก็คงปรากฏในใจคนไปไม่น้อย
ยังไม่หนำใจ กระทาชายนายกรณ์สั่งให้ธนาคารรัฐ ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารกรุงไทย ต่อยอดเงินไปยังธนาคารชุมชนเพื่อให้คนเข้าถึงแหล่งเงินของคนในชุมชน และเปิดให้คนที่เป็นหนี้นอกระบบเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูอาชีพ ได้สร้างวินัยทางการเงินควบคู่กันไปอีกด้วย
มหกรรมชุดนี้จะเริ่มมีการตีปี๊บขนานใหญ่ในไม่ช้า เพื่อให้ปวงประชาซึมซับรับการปฏิรูป “สถาบันการเงินระดับรากหญ้า”
ล่าสุด รัฐบาลได้ประกาศเปิดตัว “แผนปฏิบัติการประชาวิวัฒน์” เป้าหมายหลักของโครงการนี้มี 3 ส่วน
หนึ่ง ลดรายจ่าย ด้วยการลดค่าครองชีพ เช่น เรื่องค่าอาหาร ซึ่งจะเน้นไปที่โครงสร้างราคา เช่น ราคาไข่ หมู และไก่ รวมถึงเรื่องพลังงานอย่าง LPG และค่าไฟฟ้า ซึ่งรัฐบาลเตรียมประกาศมาตรการใช้ไฟฟ้าฟรีสำหรับคนที่ใช้ไฟไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน
ลดค่าใช้จ่ายเรื่องส่วยหรือค่าหัวคิวรายเดือนที่ต้องจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ เช่น การเปิดให้มีการขึ้นทะเบียนคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างเปลี่ยนจากป้ายขาวเป็นป้ายเหลือง การประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรื่องการยกเลิกค่าหัวคิวแท็กซี่ที่จอดรับผู้โดยสารที่สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และสถานีขนส่งหมอชิต และการประสานงานกับ กทม. ให้ตีเส้นแผงค้าทั่วกรุงเทพฯ อีกไม่น้อยกว่า 2 หมื่นแผง เพื่อลดรายจ่ายที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐเก็บค่าแผงรายวัน
ในเบื้องต้นคาดว่าน่าจะมีคนที่ได้ประโยชน์จากมาตรการนี้ประมาณ 10 ล้านคน และสามารถประหยัดเงินที่ต้องจ่ายเป็นค่าส่วยได้กว่า 1 หมื่นล้านบาท
เป้าหมายส่วนที่สอง คือ การเพิ่มรายได้ และการเข้าถึงแหล่งเงินโดยการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาพื้นที่แผงค้าและวินมอเตอร์ไซค์ให้สะอาด สะดวก สบาย สร้างสิทธิที่คนนอกระบบจะได้รับ เช่น การรักษาพยาบาล ค่าคลอดบุตร
นอกจากนี้ ยังประสานงานกับ ธ.ก.ส. ธนาคารออมสิน เอสเอ็มอีแบงก์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และธนาคารกรุงไทย ช่วยกันปล่อยสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยต่ำไม่เกิน 1% ต่อเดือน เพื่อให้คนนอกระบบเข้าถึงแหล่งเงิน
รูปแบบการปล่อยกู้จะไม่มีการใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน และจะมีวงเงินกู้พิเศษคล้ายกับวงเงิน โอ/ดี ให้กับผู้ประกอบการอาชีพเหล่านี้เพื่อใช้เป็นวงเงินฉุกเฉินในการทำมาหากินรายละไม่เกิน 1 แสนบาท
เป้าหมายส่วนที่สาม ได้แก่ การเตรียมจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติเพื่อสร้างหลักประกันรายได้ในยามชราให้กับกลุ่มคนนอกระบบและเตรียมรองรับกับสังคมผู้สูงอายุ
นอกจากนี้ ยังโปรยปรายการทำงานลงในระดับคนฐานรากด้วยการสรรค์สร้าง “หมอหนี้” อาสาสมัครที่ปรึกษาทางการเงินระดับครัวเรือนกระจายทั่วประเทศ 8.8 หมื่นคน
ธ.ก.ส. ตั้งเป้าหมายสร้างหมอหนี้ 2.6 หมื่นราย ธนาคารออมสินตั้งเป้าหมายสร้างหมอหนี้ 6.2 หมื่นราย เพื่อรองรับสินเชื่อเพื่ออาชีพไทยเข้มแข็ง
หมอหนี้ จะทำหน้าที่ให้การฝึกอบรมให้ความรู้เฉพาะด้าน เช่น การจัดทำบัญชีครัวเรือน เทคนิคการแก้ไขปัญหาด้านการเงิน
โปรดอย่าละเลยหมอหนี้จำนวน 8.8 หมื่นคนโดยเด็ดขาด หากทำสำเร็จ หมอหนี้เหล่านี้คือปากเสียงของรัฐบาลในการกระจายข่าวสู่ชาวบ้านชัดๆ ตรงๆ และทรงพลังทางการเมืองอย่างยิ่ง
จะเห็นว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ได้ปลุกกระแสแก้หนี้ การเข้าถึงแหล่งเงินอย่างต่อเนื่อง และดูจะไม่สนเรื่องผลที่ออกมาว่าจะ “สำเร็จ” หรือ “ไม่สำเร็จ”
แถมยังผลักดันโครงการใหม่ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง หวังเพียงเพื่อสร้างกระแสทางการเมืองตามยุทธการที่รู้จักกันในนาม ปฏิบัติการฝนตกทั่วฟ้า เพื่อดึงคนด้อยโอกาสไร้การเหลียวแลจากรัฐมาสนับสนุนรัฐบาล
ในทางกลับกัน ผลจากนโยบายรัฐบาลเช่นนี้ เกรงว่าจะเป็นการเร่งพฤติกรรมเบี้ยวหนี้ของชาวบ้านแบบไม่รู้ตัวก็เป็นได้
สุดท้าย ต่อให้แก้หนี้เท่าไร คนไทยก็ไม่ห่างหายไปจากความจนเสียที