posttoday

จักจงรักภักดี จนชีวิตจะหาไม่

05 ธันวาคม 2553

พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหารรักษาพระองค์ มีขึ้นในวันที่ 5 ธ.ค. 2553 ได้ปรับรูปแบบจากการสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตน  โดยทหารรักษาพระองค์จำนวน 4 กรมรวม 13กองพัน ตั้งแถวเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ สนามหน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท

พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหารรักษาพระองค์ มีขึ้นในวันที่ 5 ธ.ค. 2553 ได้ปรับรูปแบบจากการสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตน  โดยทหารรักษาพระองค์จำนวน 4 กรมรวม 13กองพัน ตั้งแถวเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ สนามหน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท

โดย...ธนก บังผล

ขึ้นชื่อว่าเป็น “ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์” พิธีถวายสัตย์และสวนสนามถือว่าเป็นภารกิจถวายพระเกียรติที่สำคัญที่สุด เนื่องจากทหารมหาดเล็กฯ เป็นหน่วยทหารที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ในการถวายความปลอดภัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์

จักจงรักภักดี จนชีวิตจะหาไม่

โดยการจัดกองทหารเกียรติยศของทหารมหาดเล็กฯ จะถูกจัดขึ้นเมื่อมีงานพระราชพิธีในพระราชฐานชั้นในที่เป็นงานเสด็จออกในการพิธี คือ งานพระบรมราชาภิเษกในเวลาสรงพระมุรธาภิเษก หรือเสด็จออกในงานเฉลิมพระชนมพรรษา

พิธีถวายสัตย์และสวนสนาม มีบันทึกไว้ในตำนานทหารมหาดเล็กฯ ว่า สืบทอดกันมาตั้งแต่ พ.ศ. 2411 สมัยรัชกาลที่ 5 และถูกยกเลิกไปช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

จนกระทั่งถูกฟื้นฟูขึ้นมาใหม่เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2492 ณ บริเวณลานพระราชวังดุสิต และได้ยึดถือปฏิบัติเรื่อยมา หลังจากนั้นได้เปลี่ยนวันที่ 25 ม.ค. ของทุกปี เนื่องจากเชื่อว่าเป็นวันที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงยุทธหัตถีชนะพระมหาอุปราชาของพม่า ก่อนจะเปลี่ยนอีกครั้งเป็นวันที่ 18 ม.ค. หลังชำระประวัติศาสตร์ยุทธหัตถี

สมัยที่จอมพลแปลก พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2496 เพื่อตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานธงชัยเฉลิมพล เพื่อใช้แทนธงชัยเฉลิมพลของเดิม ซึ่งถือว่าเป็นการจัดพิธีครั้งแรกในรัชกาลปัจจุบัน

แต่หลังจากนั้นพิธีถวายสัตย์ก็ถูกว่างเว้นไป จนถึงสมัยที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้กำหนดให้มีการถวายพระเกียรติเนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินนิวัตพระนคร

หลังจากทรงเสร็จสิ้นพระราชกรณียกิจในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศในทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกา ครั้งนั้นได้มีการจัดพิธีสวนสนามของบรรดาทหารบก ทหารเรือ และทหารอากาศ เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 2504 ซึ่งรัฐบาลประกาศให้เป็น “วันพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม” โดยทหารทั้งสามเหล่าแต่งกายด้วยเครื่องแบบของแต่ละเหล่าทัพ ไม่ได้แต่งเครื่องแบบเต็มยศ

จักจงรักภักดี จนชีวิตจะหาไม่

ต่อมาวันที่ 5 ธ.ค. ปีนั้น จอมพลสฤษดิ์ยังได้สั่งให้กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) จัดพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาขึ้นเป็นครั้งแรก มีทหารรักษาพระองค์เข้าร่วมพิธี 8 กองพัน จัดเป็น 2 กรมสวนสนาม

นับจากนั้นเป็นต้นมา พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษานี้ ก็ได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ณ ลานพระราชวังดุสิต

ในเวลาต่อมา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ กำหนดให้วันที่ 3 ธ.ค. ของทุกปี เป็นวันพิธี เนื่องจากในช่วงระหว่างวันที่ 4-6 ธ.ค. ทรงมีพระราชกรณียกิจหลายประการอันเกี่ยวเนื่องกับพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา

ปี 2525 หน่วยทหารรักษาพระองค์ในส่วนภูมิภาคและเหล่าทัพอื่นๆ คือ กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ได้เข้ามาร่วมพิธีด้วย จึงกำหนดการจัดหน่วยเข้าร่วมพิธีเพิ่มขึ้น จาก 8 กองพัน เป็น 12 กองพัน แบ่งออกเป็น 4 กรมสวนสนาม กรมละ 3 กองพัน แต่ละกองพันสวนสนามประกอบด้วยพลสวนสนาม 144 นาย หมู่แตรเดี่ยว 8 นาย หมู่เชิญ|ธงชัยเฉลิมพล 4 นาย และผู้บังคับกองพัน 1 นาย

ถวายสัตย์เฉลิมพระชนมพรรษา

โดยตั้งแต่ปี 2530 เป็นต้นมา กองพันทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ ได้จัดให้กำลังพลขี่ม้าเข้าร่วมพิธีด้วย จำนวนกองพันที่เข้าร่วมพิธีจึงเพิ่มเป็น 12+1 กองพัน โดยกองพันทหารม้าดังกล่าวจะเป็นกองพันสุดท้ายในขบวนสวนสนาม

จักจงรักภักดี จนชีวิตจะหาไม่

ปี 2539 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนแปลงวันพิธีจากวันที่ 3 เป็นวันที่ 2 ธ.ค. จนถึงปัจจุบัน ทุกๆ ปี ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะเสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งเปิดประทุน ออกทางประตูทวยเทพสโมสร หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม เพื่อทรงเป็นองค์ประธานในพิธี

ในขณะทรงตรวจพลสวนสนามนั้น จะมีรถยนต์อัญเชิญธงชัยราชกระบี่ยุทธและธงชัยพระครุฑพ่าห์ นำหน้าขบวนเสด็จพระราชดำเนิน นอกจากนี้ยังได้อัญเชิญธงชัยเฉลิมพลประจำหน่วยต่างๆ เข้าร่วมในพิธีด้วย

โดยปี 2549-2550 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จพระราชดำเนินกลับจากพิธีนี้โดยรถยนต์พระที่นั่ง ทะเบียน ร.ย.ล. 960 ด้วยเส้นทางจากลานพระราชวังดุสิต ไปทางถนนศรีอยุธยา เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนพระรามที่ 5 กลับเข้าสู่พระตำหนักจิตรลดารโหฐานทางด้านประตูพระวรุณอยู่เจน

นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงขั้นตอนการขับร้องเพลงถวายพระพรโดยวงดุริยางค์ทหารบก ซึ่งปกติทำกันเป็นประจำทุกปี ก็ได้งดไปในปีนี้ ปี 2551 ได้มีการปรับขบวนทหารกองพันสวนสนามที่ 1-12 ในเวลาสวนสนามหน้าพระที่นั่งเป็น 2 แถวสวนสนามพร้อมกัน เพื่อกระชับเวลาของพิธีให้สั้นลง อันเป็นการลดพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

และในปี 2552 สำนักราชเลขาธิการได้ประกาศเลื่อนพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนออกไปจากกำหนดเดิม คือวันที่ 2 ธ.ค. เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปประทับที่โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย.

จนมาถึงปี 2553 นี้ พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหารรักษาพระองค์ มีขึ้นในวันที่ 5 ธ.ค. ซึ่งเป็นการปรับรูปแบบจากการสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตน บริเวณลานพระราชวังดุสิต โดยแถวทหารจะเริ่มเดินจากศาลาว่าการกลาโหม ไปยังพระบรมมหาราชวัง เข้าทางประตูวิเศษไชยศรี มี พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นผู้นำกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณตน และน้อมรับพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์รัชกาล ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทหารรักษาพระองค์เข้าเฝ้าฯ ในพระบรมมหาราชวังเพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณตน

จักจงรักภักดีจนชีวิตจะหาไม่

“...ขอถวายคำสัตย์ปฏิญาณต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า ข้าพระพุทธเจ้า จะยอมตายเพื่อรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ แห่งพระมหากษัตริย์เจ้า ข้าพระพุทธเจ้า จะจงรักภักดี และถวายความปลอดภัย ต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จนชีวิตหาไม่ ข้าพระพุทธเจ้า จะเชิดชูและรักษาไว้ซึ่งเกียรติยศ เกียรติศักดิ์ ของทหารรักษาพระองค์ ทั้งจะปฏิบัติตนให้เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททุกประการ”

จักจงรักภักดี จนชีวิตจะหาไม่

เป็นถ้อยคำถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ที่ต้องกล่าวต่อหน้าพระพักตร์ในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาทุกปี

โดยเฉพาะความภาคภูมิใจที่ได้เป็นทหารมหาดเล็กฯ นั้น หนึ่งในผู้เข้าร่วมถวายสัตย์ ณ พระบรมมหาราชวังปีนี้ ถือว่าเป็นมหาฤกษ์ที่เฝ้ารอมาแล้ว 2 ปี

“ด้วยความเป็นหน่วยทหารรักษาพระองค์ ผมภูมิใจมากกับการได้เข้าถวายสัตย์ต่อหน้าพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระบรมมหาราชวังปีนี้ ถือว่าเป็นเกียรติต่อวงศ์ตระกูลของผมอย่างมาก”

ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์คนนี้ แม้จะได้รับคัดเลือกให้เข้าถวายสัตย์เป็นครั้งที่ 3 แล้ว แต่เขายอมรับว่าความรู้สึกตื้นตันระหว่างที่ต้องถวายสัตย์ต่อหน้าพระพักตร์นั้นทำให้เขาขนลุกอยู่เสมอ

“คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถทำได้ แม้ว่าหน่วยมหาดเล็กจะต้องถวายการรับเสด็จและถวายความปลอดภัยซึ่งมีตลอดทั้งปี แต่เราก็ถือว่างานถวายพระพรเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นงานใหญ่ที่ทหารมหาดเล็กเฝ้ารอ ใครไม่ได้สัมผัสจะไม่มีทางรู้ได้เลย และผู้ที่จะถูกคัดเลือกมานั้นรูปร่างลักษณะต้องเหมาะสม ไม่อ้วน มีบุคลิกภาพที่ดี”

“ผมยอมรับว่าการจัดงานในปีนี้ไม่เหมือนในทุกๆ ปีที่ผ่านมา อาจจะมีการปรับเปลี่ยนขั้นตอนการปฏิบัติให้ยุ่งยากบ้าง และเราก็มีเวลาซ้อมน้อย ซึ่งต้องใช้ความตั้งใจมาก แต่ความรู้สึกผมคือ นี่เป็นงานของเราที่เราต้องทำให้พระองค์ท่าน แม้ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมไปบ้าง ไม่ว่าจะแบบเดิมหรือแบบใหม่ อาจจะแปลกไปบ้าง แต่นี่ก็คือการถวายสัตย์ต่อหน้าพระพักตร์”

เขาบอกอีกว่า ความภูมิใจนี้ยังกลายเป็นความตื้นตัน “ความรู้สึกผมคือขนลุก ยิ่งถ้าพูดต่อหน้าพระพักตร์แล้ว ขนลุกจริงๆ ลองคิดดูว่าเราได้เห็นพระองค์ท่านใกล้ๆ เข้าเฝ้าฯ ใกล้ๆ แล้วถวายสัตย์จะจงรักภักดีต่อพระองค์ท่านจนชีวิตจะหาไม่ จะรู้สึกตื้นตันเป็นอย่างยิ่ง เพราะในหลวงมีพระองค์เดียวในโลก” 

ข่าวล่าสุด

3 ชาติผนึกกำลังทลาย 'KK Park - ชเวก๊กโก' รังใหญ่ "แก๊งคอลเซ็นเตอร์"