posttoday

"พิธา"โชว์วิสัยทัศน์หัวหน้า"ก้าวไกล"บทที่สองของพรรคอนาคตใหม่

14 มีนาคม 2563

"พิธา"ลั่นหากเป็นรัฐบาลจะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสแก้ไขโควิด-19ไม่เอาภาษีของคนไทยไปตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ แต่จะนำเงินหมื่นล้านบาทสร้างอุตสาหกรรมสุขภาพคนไทย

หลังที่ประชุมพรรคก้าวไกล ได้เลือก"พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" เป็นหัวหน้าพรรค "พิธา " ได้ กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ว่า เป็นเวลากว่า 23 วัน ที่พรรคอนาคตใหม่ถูกทำให้หายไปจากการเมืองไทย และเป็นเวลาที่ทำให้ผู้แทนราษฎร อย่างพวกเราจากอดีตพรรคอนาคตใหม่ ต้องไร้สังกัดพรรคการเมือง แต่วันนี้เราได้ย้ายสู้บ้านใหม่อย่างเป็นทางการกับพรรคก้าวไกล

"วันนี้ต้องขอขอบคุณสมาชิก ส.ส. และผู้สนับสนุนทุกคน ที่ไว้วางใจให้ผมเป็นหัวหน้าพรรค ขอบคุณทุกกำลังใจที่ทำให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก กำลังใจจากทุกคนถือเป็นเชื้อไฟชั้นดี ทำให้พวกเราเดินหน้าต่อไปได้อย่างไม่ย้อท้อ พรรคก้าวไกลคือบทที่สองของพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งบทแรกของพวกเรามีสมาชิกมากกว่า 6 หมื่นคนที่ร่วมสร้างพรรคขึ้นมา และทั้งหมดที่ผ่านมาถือเป็นบทเรียนที่จะพาให้เราก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง”

ทั้งนี้วันที่ 14 มีนาคม 2563 บันทึกไว้ว่า พรรคก้าวไกล และพวกเราผู้ที่รักความเป็นธรรม เชื่อมั่นในระบบประชาธิปไตย จะเริ่มขีดเขียนบทเองร่วมกันในบทที่สองกับพรรคก้าวไกล ซึ่งพรรคนี้สืบทอดเจตนารมณ์ อุดมการณ์ และจิตวิญญาณมาจากอดีตพรรคอนาคตใหม่

"เราจะเดินหน้าทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์ จะยังคงเป็นความหวังให้กับคนที่สิ้นหวังในประเทศนี้ จะขอเป็นปากเสียงให้กับคนที่ไร้อำนาจในสังคม เราจะไม่ใช่พรรคชั่วคราว แต่จะเป็นสถาบันทางการเมืองที่จะพาประเทศไทยกลับไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย เรายึดมั่นและพร้อมต่อสู้เพื่อพาประเทศ เปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตย ยุติระบอบรัฐประหาร และสถาปนานิติรัฐที่ประชาชนทุกคนมีความเท่าเทียม เรายังยึดมั่นในนโยบาย สามฐานราก แปดเสาหลัก หนึ่งปักธงประชาธิปไตย เพื่อสร้างประเทศ และคนไทยให้ก้าวหน้าอย่างเท่าเทียมกัน”

หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวอีกว่า วันนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ เรากำลังเผชิญวิกฤตรอบด้าน และแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลปัจจุบันไม่มีศักยภาพที่จะนำพาประเทศให้เดินต่อไปได้ ซ้ำพาคนทั้งชาติลงเหว ประเทศไทยเป็นประเทศที่ความเป็นอยู่ของประชาชนถูกกำหนดโดยเหล่าอภิสิทธิชน ทหาร เหล่าราชการ และกลุ่มทุนผูกขาด แม้ประชาชนจะพยายามตะโกนบอก แต่เสียงก็ไม่เคยดังพอที่รัฐบาลจะได้ยิน หรือทำเป็นหูทวนลม

ทั้งนี้มีนักรัฐศาสตร์คนหนึ่งกล่าวไว้ว่า การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องของรัฐล้มเหลว แต่เป็นเรื่องของรัฐบาลล้มเหลว ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาโรคระบาดโควิด-19 ซึ่งวันนี้ความรุนแรงของการแพร่ระบาดไม่เท่ากับความตื่นตระหนกของประชาชนจากการทำงานของรัฐบาล วิกฤตฝุ่นพิษ PM 2.5 ทำให้คนไทยต้องตายผ่อนส่งเพียงเพราะรัฐบาลต้องการเอาใจนายทุน วิกฤตเศรษฐกิจที่ตกต่ำที่สุดภาคอุตสาหกรรม ภาคการท่องเที่ยว ภาคการเกษตรติดลบทั้งหมด

วิกฤตการเมืองที่เกิดจากรัฐธรรมนูญ ที่สืบอำนาจจากคสช. ใช้ ส.ว. แต่งตั้ง 250 คน เป็นฐานรักษาอำนาจ ออกแบบระบบเลือกตั้ง ไม่ให้มีพรรคไหนมีเสียงเกินกึ่งหนึ่ง เพื่อให้เสียงข้างมากกระจัดกระจายไปอยู่ตามพรรคต่างๆ จนเกิดวิกฤตร่วมรัฐบาล 19 พรรค บริหารประเทศไร้ประสิทธิภาพ ขาดเอกภาพ สาละวนอยู่กับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เกิดสภาเสียงปริ่มน้ำ จนมีเรื่องการซื้อ ส.ส. เกิดองค์กรอิสระที่เลือกปฏิบัติ และเกิดประบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน อีกทั้งมีการทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นไปได้ยาก

ทั้งนี้ หากพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล การแก้ไขโควิด-19 ในวันนี้จะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส จะไม่เอาภาษีของคนไทยไปตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ แล้วไปอุ้มตลาดทุน แต่เราจะนำเงินหมื่นล้านบาทสร้างอุตสาหกรรมสุขภาพ สร้างบุคคลากร สร้างงาน และเพิ่มงบวิจัย เพราะเชื่อว่านักวิทยาศาสตร์การแพทย์ของไทยมีศักยภาพเพียงพอ หากมีห้องทดลองหรืออุปกรณ์ที่ทันสมัย รวมทั้งงบประมาณ เราอาจจะมีวัคซีนหรือยาต้านโรคจากฝีมือคนไทยก็ได้

ซึ่งวิกฤตที่เกิดขึ้นเหล่านี้เป็นเหตุผลให้พรรคก้าวไกลต้องเดินตามนโยบายของอดีตพรรคอนาคตใหม่ คือการแก้ไขปัญหาโครงสร้างมากว่าการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และแน่นอนว่าเรายังคงเดินหน้า การร่างพระราชบัญญัติยกเลิกประกาศคำสั่ง คสช. 17 ฉบับ เพื่อยุติมรดกกฎหมายยุครัฐประหารที่ยังคงริดรอนสิทธิประชาชนอยู่ และยังคงเดินหน้าร่างพระราชบัญญัติยกเลิกการเกณฑ์ทหารเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นการปฏิรูปกองทัพให้ทันสมัย มีสวัสดิการที่ดี และทหารชั้นผู้น้อยอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี

ขณะเดียวกันเรายังคงเดินหน้าร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน เพื่อยกระดับสิทธิและสวัสดิการของแรงงาน ยังเดินหน้าร่างพระราชบัญญัติสุราก้าวหน้า เพื่อไม่ให้จำกัดอยู่ที่นายทุนไม่กี่ราย และสิ่งสำคัญพรรคจะคงเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อจัดลำดับความสำคัญทางอำนาจใหม่ ให้ประชาชนมีอำนาจต่อรอง มีสิทธิเสรีภาพมากขึ้น ให้สถาบันการเมืองจากการเลือกตั้ง มีอำนาจเป็นปากเสียงให้ประชาชน และต้องยกเลิก ส.ว. แต่งตั้ง ยกเลิกยุทธศาสตร์ 20 ปี และแก้ไขที่มาขององค์กรอิสระ ให้ยึดโยงกับประชาชนให้มากที่สุด ต้องปรับปรุงแก้ไขระบบรับสภาไม่ให้เป็นสภาตรายางให้รัฐบาล เดิมพรรคมี ส.ส. 87 คน ตอนนี้เหลือเพียง 54 คน จากสภาเสียงปริ่มน้ำ กลายเป็นสภางูเห่า สร้างความมั่นคงให้กับรัฐบาลในบรรยากาศมืดมิด แต่ยังมีแสงสว่างในปลายอุโมงค์

“พวกเราจะลุกขึ้นสู้ โดยเฉพาะจากกลุ่มเยาวชน สถาบันการศึกษามากกว่า 40 แห่ง นักเรียน นิสิตนักศึกษา ออกมารณรงค์เคลื่อนไหวเพื่อส่งเสียงไปถึงผู้มีอำนาจว่า เขาต้องการประเทศที่ดีกว่า มีความเป็นธรรมและมีอนาคตมากกว่านี้ แม้จะถูกขัดขวางกดดันถูกข่มขู่คุกคามจากผู้ใหญ่ แต่ทุกคนยังยืนหยัดลุกขึ้นต่อสู้ท่ามกลางความมืดมิด"

"พิธา" กล่าวด้วยว่า พวกเรากำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาน่าตื่นเต้นมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย จะเป็นโอกาสที่พรรคการเมืองจะได้เขยื้อนไปในทางที่ดีขึ้น เพราะพลังนักศึกษาจากทั่วประเทศที่ลุกขึ้นทวงสิทธิในการเป็นเจ้าของประเทศ

"เราได้เห็นประกายไฟและความหวังถูกปลุกขึ้นในกลุ่มคน ซึ่งเป็นไฟที่จะทำให้ส.ส. ของพรรคก้าวไกลต้องก้าวต่อไป โดยการยืนหยัดในรัฐสภา เพื่อเป็นพลังในการเปลี่ยนแปลงสังคม เพื่อทำให้ระเทศนี้ก้าวไกลไปกว่าที่เป็น รอความหวังและอนาคตที่จะกลับคืนสู่ประเทศไทยอีกครั้ง เราจะทำหน้าที่ในสภาอย่างแข็งขันคู่ขนานไปกับความเคลื่อนไหวของประชนทุกกลุ่ม เพื่อนำประเทศฝ่าฝันวิกฤตและนำประเทศกลับสู่วิถีทางประชาธิปไตยที่ประชาชนมีอำนาจสูงสุดอีกครั้ง”

ข่าวล่าสุด

ประเสริฐยันจบด้วยดี “ไชยา” ลาเพื่อไทยเหตุจำเป็นการเมือง