posttoday

ซ้ำรอยนักเรียนตีกัน ปัญหาเนื้อร้ายสังคม

17 พฤศจิกายน 2553

นักเรียนนักเลงทั้งหลาย ควรหยุดสร้างความวุ่นวายกันได้แล้ว เพราะไม่มีประโยชน์ ไม่มีผลดีอะไรทั้งสิ้น ซ้ำร้ายยังทำให้สังคมเดือดร้อน... 

นักเรียนนักเลงทั้งหลาย ควรหยุดสร้างความวุ่นวายกันได้แล้ว เพราะไม่มีประโยชน์ ไม่มีผลดีอะไรทั้งสิ้น ซ้ำร้ายยังทำให้สังคมเดือดร้อน... 

โดย...กันติพิชญ์ ใจบุญ 

เอาอีกแล้ว...เหตุการณ์นักเรียนนักเลงที่อาละวาด นำมีด ดาบ ปืน และระเบิด เข้าทะลวงห้ำหั่นกัน โดยไม่สนว่าใครหน้าไหน ประชาชนที่ใดจะได้รับความเดือดร้อน

กับเหตุการณ์เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 15 พ.ย.ที่เขตมีนบุรี เด็กพวกนี้ดักรออริต่างสถาบันอยู่หน้านิคมอุตสาหกรรม ซ.เสรีไทย 87 ซึ่งอยู่บนรถเมล์มินิบัส สาย 27 เดินทางจากอนุสาวรีย์มุ่งหน้าเข้าอู่สุดสายที่มีนบุรี เมื่อได้จังหวะเหมาะ กลุ่มวัยรุ่นก็ปาระเบิดขึ้นไปบนรถเมล์ทันที เสียงระเบิดดังกึกก้อง ผสมกับเสียงหวีดร้องของที่อยู่ในเหตุการณ์ และผู้ที่มาประสบพบเจอ ส่วนผู้ก่อเหตุหนีหายลอยนวล

แน่นอนว่าผลกระทบต้องตามมาแน่ ส่งผลให้ นายพิเชษฐ์ ไชยะ อายุ 26 ปี พนักงานซ่อมรถยนต์ของโชว์รูมนิสสัน ที่โดยสารมากับแฟนสาวหลังจากไปซื้อของด้วยกันเสียชีวิตทันที

ที่สำคัญคือเขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรกับการทะเลาะเบาะแว้งที่มุ่งหมายล้างแค้นจนถึงชีวิตครั้งนี้เลย แต่ต้องมาสังเวยชีวิตแล้วทิ้งภาระครอบครัวให้กับผู้อยู่เบื้องหลังต้องเจ็บแสนสาหัส

ปฏิบัติการล้อมคอกเด็กนักเลงจึงเกิดขึ้น (อีกครั้ง)

กับเหตุการณ์เช่นนี้ หลายคนที่เกี่ยวข้อง หรือแม้แต่โรงเรียน เจ้าหน้าที่ตำรวจ ประชาชนทั่วไปตาดำๆ ต่างก็เอือมระอากันแทบจะทั้งนั้น เมื่อไหร่ที่บังเอิญต้องหันหน้าไปเห็นเด็กช่างยืนอยู่ ก็พากันส่ายหัว พยายามอยู่ห่างๆ ไว้ เพราะไม่รู้ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แล้วตัวเองจะถูกลูกหลงหรือไม่

ซ้ำรอยนักเรียนตีกัน ปัญหาเนื้อร้ายสังคม

เรียกว่าเด็กช่างกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรุนแรงไปเสียแล้ว และปฏิเสธไม่ได้เด็ดขาด

ทั้งนี้ หากยังจำกันได้เมื่อไม่นานที่ผ่านมา เด็กช่างจากวิทยาลัยเทคโนดุสิต ที่ถูกนักศึกษาจากอุเทนถวาย สังหารโหดด้วยการใช้มีดแทงเข้าที่หน้าอกบริเวณสยามสแควร์ ส่งผลให้ตายทันที ส่วนสาเหตุก็เพียงแค่อยู่ต่างสถาบันกันเท่านั้น ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีเรื่องมีปัญหากันมาก่อน

เหตุการณ์เช่นนี้ โทษใครคงไม่ได้ จะว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ไปดูแลก็พูดได้ยากเช่นกัน เพราะหน้าที่ของตำรวจก็มีหลายอย่าง คงไม่ได้วางกำลังเพื่อป้องกันเหตุทะเลาะวิวาทของเหล่านักเรียนนักเลงเพียงอย่างเดียว อาจารย์ประจำโรงเรียนของเหล่านักเลงทั้งหลาย ก็ต้องพร่ำสอนวิชาจนเหนื่อยหน่าย และใครจะไปตามลูกศิษย์ของตนเองได้ตลอดเวลา จึงทำให้ “สามัญสำนึก” ของเหล่านักเรียนนักเลงทั้งหลาย ต้องระลึกกันเอง

แต่ถ้าเกิดเหตุขึ้นมา ตำรวจก็คงหลีกไม่พ้น เพราะถึงอย่างไรก็ต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ทั้งการปราบปราม หรือแม้แต่การเข้าไป “ตรวจสอบที่เกิดเหตุ”

เหตุกาณ์ทั้งหลายแหล่ของเหล่านักเรียนนักเลงที่ประชาชนมองแล้วรุนแรง อันตราย ซึ่งในสายตาของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แล้ว เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องเล็กๆ เพียงแต่ปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ผู้ที่แก้ไข จับจุดของปัญหาไม่ถูก

“จริงๆ แล้วเรื่องนักเรียนนักเลง ผมมองว่าส่วนใหญ่ที่พวกเด็กมันซัดกัน ก็เป็นเรื่องส่วนตัว น้อยนักที่จะเป็นเรื่องสถาบัน แต่ทั้งนี้ ในแง่ของปัจจัยต่างๆ ที่เป็นมูลเหตุให้ก่อเรื่องก็มีมากเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการแสดงพาวเวอร์ให้เพื่อนๆ ในกลุ่มเห็น หรือเรื่องเขม่นกันเอง หรือแม้แต่เรื่องชู้สาว ที่วัยรุ่นเลือดร้อนทั้งหลายแหล่ยากที่จะยอมให้กันได้ ผลที่ตามมาก็ต้องเข้าไปตีกัน ดังนั้น หากมองในแง่มุมนี้ จะเห็นได้ชัดว่า ส่วนใหญ่แล้วปัญหาตีกันก็เป็นเรื่องส่วนตัวแทบทั้งสิ้น”

พ.ต.อ.ศานิตย์ มหถาวร รักษาการผู้บังคับการตำรวจนครบาล 3 (ผบก.น.3) เจ้าของพื้นที่ดูแลเหตุในเขตมีนบุรี เอ่ยถึงนักเรียนนักเลงไว้อย่างน่าสนใจ และยังบอกอีกว่า สำหรับปัญหาเรื่องสถาบัน หรือศักดิ์ศรี และค่านิยมที่ผิดๆ ก็ยังคงมีอยู่ แต่มองว่าปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากเรื่องส่วนตัวทั้งนั้น

“และคำถามที่ต้องตามมา แน่นอนวิธีการรับมือแก้ไขปัญหาหรือป้องกันให้เหตุการณ์นักเรียนนักเลงเบาบางลง ต้องมีตามมา ส่วนตัวผมเองมองว่า การแก้ไขปัญหาในขณะนี้กำลังเดินไปผิดที่ผิดทาง ทั้งเรื่องการนำนักเลงมาเข้าแคมป์ละลายพฤติกรรม หรือไปทำอะไรต่างๆ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคม แน่นอนว่าภาพที่ออกมามันดูดี แต่ถามจริงๆ ว่าได้ประโยชน์บ้างหรือไม่”

ซ้ำรอยนักเรียนตีกัน ปัญหาเนื้อร้ายสังคม ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์คนร้ายปาระเบิดใส่รถเมล์สาย 27

“เอาง่ายๆ ผู้ที่เกี่ยวข้องที่แก้ไขต้องมองให้ออกว่าปัญหาคืออะไร เกาให้ถูกที่คัน ปัญหามันมาจากพฤติกรรมชักชวนของเพื่อน หรือการไม่เอาใจใส่ของผู้ปกครอง หรือการที่เด็กยังไม่รู้จักกับคำว่าให้อภัยเราต้องแก้ในจุดนี้ เพื่อละลายพฤติกรรมของเด็กอย่างถูกต้อง”

พ.ต.อ.ศานิตย์ ยังแนะนำวิธีแก้ไขให้เห็นภาพอีกว่า บางครั้งการแก้ไขปัญหาของผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งโรงเรียน นักวิชาการ เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือแม้แต่ผู้ปกครอง อาจจะต้องใช้ความเด็ดขาดในการแก้ไขกันไปเลย เพราะหากใช้น้ำเย็นเข้าลูบแล้วมันไม่ดีขึ้น บางทีไม้แข็งก็ต้องนำมาใช้

“นิ้วไหนเสียก็ตัดทิ้งไปซะ เหลือแต่คนที่มีคุณภาพ คนดีๆ ป้อนแรงงานดีๆ สู่สังคม ดูจะเป็นประโยชน์มากกว่าเสียอีก และอยากฝากถึงเหล่านักเรียนนักเลงทั้งหลาย ควรหยุดสร้างความวุ่นวายกันได้แล้ว เพราะไม่มีประโยชน์ ไม่มีผลดีอะไรทั้งสิ้น ซ้ำร้ายยังทำให้สังคมเดือดร้อน และหากเกิดเหตุ แน่นอนอนาคตต้องดับวูบ เผลอๆ อาจไปนอนในคุกก็เป็นได้”

แต่ก็อย่างที่กล่าว ไม่ว่าใครก็ตามที่เกี่ยวข้องจะพูดไปจนปากเปียกปากแฉะ สุดท้ายแล้วการแก้ปัญหาแบบลูบหน้าปะจมูก และไม่เอาจริงๆ ไม่เคยทำให้ปัญหานักเรียนตีกันหายไปจากสังคมได้เสียที

***************************

มีสติหลีกเลี่ยงลูกหลง

ละเลยไปไม่ได้ ก็คือประชาชนทั่วไป ที่ไม่รู้ว่าวันไหนจะพาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับเด็กพวกนี้บ้าง เพราะบางที “ลูกหลง” ที่เด็กพวกนี้ห้ำหั่นกัน ก็อาจจะส่งผลอันตรายถึงชีวิตได้ เรื่องนี้พ.ต.อ.ศานิตย์ ให้ความเห็นว่า “ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของดวง เพราะบางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิดกับตนเองบ้าง แต่ทางป้องกันที่ดีที่สุด ผมก็มีมาฝากประชาชน

1.หากพบเห็นเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น ประชาชนต้องตั้งสติไว้ และแจ้งเบาะแสมายังเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้เข้าไประงับเหตุทันที

2.หากเป็นบนรถเมล์ เมื่อเห็นกลุ่มนักเรียนช่างกล ก็อย่าเพิ่งตัดสินว่าเป็นพวกไม่ดีไปทั้งหมด เพราะบางคนอาจจะเป็นเด็กนักเรียนที่มีความตั้งใจจริงในการเรียนก็เป็นได้ แต่ทั้งนี้ หากไม่สบายใจ ทางที่ดี ไปคันหลังจะดีกว่า

3.ไม่ควรพาตัวเองไปที่เสี่ยงๆ โดยไม่จำเป็น ซึ่งข้อนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากเกิดเหตุ เด็กที่ตีกันก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร บางครั้งชาวบ้านทั่วไปก็โดนตีหัวกันไปด้วย สำคัญคืออย่าไปเสี่ยง อย่าไปชม รีบออกจากพื้นที่เสี่ยง แล้วแจ้งตำรวจ

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์-FWD คว้า 3 รางวัล Adman Awards 2025 ตอกย้ำเข้าถึงลูกค้าทุก Gen ด้วย "ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย"