posttoday

เปลื้องผ้านักการเมืองไทย

14 พฤศจิกายน 2553

ด้านลบของนักการเมืองคือคนที่ใช้อำนาจทางการเมืองเอารัดเอาเปรียบประชาชนในทำนอง “ปรสิต” หรือพยาธิที่เบียดเบียนสังคม

ด้านลบของนักการเมืองคือคนที่ใช้อำนาจทางการเมืองเอารัดเอาเปรียบประชาชนในทำนอง “ปรสิต” หรือพยาธิที่เบียดเบียนสังคม

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

บทความวันนี้เกิดขึ้นจากคำถามของประชาชนที่โทรศัพท์เข้ามาในกิจกรรม “3 วันสร้างสรรค์ความเข้มแข็งประชาธิปไตย” อันเป็นกิจกรรมเพื่อการรับฟังความคิดเห็นทางโทรศัพท์เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญของคณะกรรมการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ ที่มีท่านอาจารย์สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ เป็นประธาน ระหว่างวันที่ 9 ถึงวันที่ 11 พ.ย.ที่ผ่านมาแล้วนั้น

มีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่โทร.มาถากถางว่า “แก้ (รัฐธรรมนูญ) ไปทำไม แก้มาแล้วกี่ฉบับก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น” บ้างก็ว่าปัญหาการเมืองไทยไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ หรือจะแก้ได้ก็ด้วยรัฐธรรมนูญ เพราะปัญหาของการเมืองไทยไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ แต่อยู่ที่คนที่ใช้รัฐธรรมนูญโดยเฉพาะคนที่เรียกว่า “นักการเมือง” จึงต้องแก้ที่นักการเมืองเสียก่อน

เปลื้องผ้านักการเมืองไทย

มีอยู่คนหนึ่งตั้งประเด็นได้ “เจ็บปวด” มาก คือเขาพูดว่า “รู้หรือเปล่าว่านักการเมืองไทยมีส่วนที่ไม่สมประกอบอยู่ 3 สิ่ง คือ หนึ่ง ขาดหัวใจ ที่จะคิดถึงประชาชน สอง ขาดมันสมอง ที่จะคิดทำอะไรเพื่อประชาชน และสาม ขาดผิวสัมผัส ที่จะรับรู้ความทุกข์ยากของประชาชน”

ในเย็นวันสุดท้ายหลังการรับฟังความเห็นประชาชนทางโทรศัพท์ ผู้เขียนได้รับเชิญจากสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งให้ไปพูดเกี่ยวกับผลการรับฟังที่ได้ดำเนินการมาใน 3 วันนั้น ซึ่งในตอนท้ายผู้ดำเนินรายการได้ชวนพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังเป็นอยู่ในหลายเรื่องๆ เป็นต้นว่า การเดินสายเพื่อสร้างการปรองดองของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ การยุบพรรคประชาธิปัตย์ และการเลือกตั้งในปี 2554
โดยมีคำถามตบท้ายว่า “จริงๆ แล้ว นักการเมืองเหล่านี้เขาต้องการอะไร?” ซึ่งบังเอิญเวลาหมดจึงไม่ได้ตอบอะไร จึงขออนุญาตที่จะมาตอบเสียในบทความนี้

โดยทฤษฎีการเมือง (ฝรั่ง) ที่ผู้เขียนได้ร่ำเรียนมา ก็ยังมีความเห็นที่หลากหลายเกี่ยวกับความหมายของนักการเมือง บางท่านก็บอกว่า นักการเมืองมีนัยหรือความหมาย 2 ด้าน ด้านบวกก็คือคนที่ทำงานเพื่อประชาชนในทำนองอาสาสมัครทางสังคม 

ส่วนด้านลบคือคนที่ใช้อำนาจทางการเมืองเอารัดเอาเปรียบประชาชนในทำนอง “ปรสิต” หรือพยาธิที่เบียดเบียนสังคม

บางท่านก็บอกว่า การพิจารณาเกี่ยวกับบทบาทของนักการเมืองต้องพิจารณาตามสถานการณ์หรือยุคสมัย ในอดีตนั้นนักการเมืองกับผู้ปกครองคือคนกลุ่มเดียวกันที่มักจะใช้อำนาจตามอำเภอใจ แต่เมื่อระบอบประชาธิปไตยพัฒนาขึ้น นักการเมืองก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำหน้าที่ตามแต่ที่ประชาชนจะมอบหมายให้ในลักษณะที่ว่านักการเมืองคือ “ตัวแทน” ของประชาชน จนล่าสุดรูปแบบการ เมืองแบบตัวแทนนั้นได้กลายเป็น “คณาธิปไตย” (หมายถึงระบบที่ตักตวงเอาผลประโยชน์เข้าหมู่คณะ) ไปทั่วโลก

ประชาชนจึงพยายามที่จะดึงอำนาจกลับคืนด้วยการเข้าไปมีส่วนร่วมในทางการเมืองโดยตรงมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากการเติบโตของการเมืองภาคประชาชนในหลายๆ ส่วน ไม่ว่าจะเป็นการเกิดขึ้นของเครือข่ายองค์กรประชาชนในรูปแบบต่างๆ เช่น NGO กลุ่มสนใจ และกลุ่มกิจกรรมต่างๆ ที่เคลื่อนไหวในลักษณะที่ต่อต้านอำนาจรัฐ หรือไม่ก็พยายามที่จะดึงเอางานที่รัฐไม่ทำหรือทำแล้วแต่ล้มเหลวมาทำเสียเองในภาคประชาชน เช่น เรื่องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือเรื่องสิทธิมนุษยชน ที่รัฐไม่แยแสหรือไม่เอาใจใส่

บางท่านให้ข้อคิดว่าในประเทศที่พัฒนาระบอบประชาธิปไตยแล้ว นักการเมืองจะต้องมีความสามารถในการปรับตัว โดยการปรับตัวเข้ากับสภาพการณ์ทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ในทางตรงกันข้ามหากไม่มีการปรับตัวหรือแข็งขืนต่อการเปลี่ยนแปลง นักการเมืองในแนวคิดนี้ก็จะประสบกับหายนะ คือไม่อาจจะอยู่รอดได้ในทางการเมือง

ท่านที่สนใจและศึกษาเกี่ยวกับวิวัฒนาการของการเมืองไทยคงจะรู้มาบ้างแล้วว่า ในหลายๆ เหตุการณ์ของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศของเรานี้ เป็นผลมาจากการที่นักการเมืองในระดับผู้ปกครองไม่ยอมปรับตัวหรือปรับตัวไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยเฉพาะการเปลี่ยนในด้าน “ทัศนคติและการรับรู้” ของประชาชน

การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี 2475 ก็เป็นผลมาจากการที่ชนชั้นนำในระบบเก่าของไทยไม่สนใจต่อแนวพระราชดำริที่มาตั้งแต่ครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในอันที่ทรงกล่าวถึงว่าในอนาคตจักต้องมี “ปาลิเมนต์” (รัฐสภา) มาดูแลทุกข์สุขของประชาชน โดยกษัตริย์จะต้องไปอยู่ใต้รัฐ ธรรมนูญในแบบที่เรียกว่า “คอนสติติวชั่นแนลโมนากี” ที่ทรงกล่าวไว้ตั้งแต่ปี 2428 โน่นแล้ว

การโค่นล้มรัฐบาลทหารของจอมพลถนอม กิตติขจร ในเหตุการณ์วันที่ 14 ต.ค. 2516 ก็เป็นผลมาจากทหารไม่ฟังเสียงประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยมาอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกันกับเหตุการณ์พฤษภาทมิฬใน 2535 ที่เผด็จการ จปร.5 ไม่ยอมลงจากหลังเสือหลังจากการโค่นล้มกลุ่มนักคอร์รัปชันที่ชื่อ “บุฟเฟต์คาบิเนต” ในปีก่อนนั้น รวมทั้งความผิดพลาดของอดีตนายกรัฐมนตรีขวัญใจใจรากหญ้าอย่างคุณทักษิณ ที่ตกม้าตายเพราะความ “เหิมเกริม” ว่าตนเองมีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน!

ด้วยทฤษฎี “การปรับตัว” ที่กล่าวมาในตอนต้น ที่ในทัศนะของผู้เขียนอยากจะต่อเติมอีกด้วยว่า “การปรับใจ” น่าจะเชื่อได้ว่านักการ เมืองของไทยในเวลานี้ยังไม่มีสำเหนียกหรือการรับรู้ในเรื่องนี้แต่อย่างใด ซึ่งก็น่ากลัวว่าการเมืองไทยอาจจะมีจุดเปลี่ยนที่เลวร้ายในไม่ช้าก็เร็วนี้
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความพยายามสร้างความปรองดองของ พล.ต.สนั่น ที่คิดเอาเองว่าหากเดินทางไปพบใครบางคนแล้วจะเกิดความปรองดองได้ โดยที่ท่านได้สอบถามคนไทยหรือรู้จริงไหมว่า คนไทยต้องการให้บุคคลผู้นี้กลับมาเหยียบแผ่นดินไทย (และเขาจะกล้ากลับมาหรือเปล่า) หรือรัฐบาลนี้ที่พยายามจะประคองกันไปบนหนทางที่ “มอมแมม” กับพรรคร่วมที่ “หมองมัว” แม้แต่การแก้รัฐธรรมนูญก็ทำอย่าง “หมางเมิน” หรือเสียไม่ได้ เพียงแค่ 2 ประเด็น ที่หนึ่งในนั้นเพื่อประโยชน์ของพรรคร่วมรัฐบาลที่ “ขอมา” เพียงเพื่อจะถูลู่ถูกังลากกันไปให้ข้ามปี

ผู้เขียนขอย้อนไปที่ข้อคิดจากประชาชนในการแสดงความเห็นทางโทรศัพท์ที่ท่านบอกว่า “นักการเมืองไทยไม่มีหัวใจ ไม่มีมันสมอง และไม่มีผิวหนัง” ก็น่ากลัวว่าจะสร้างความลำบากใจให้กับผู้วาดภาพประกอบคอลัมน์นี้ ที่ไม่รู้จะจินตนาการภาพของนักการเมืองในลักษณะนี้เช่นไร

หรืออาจจะเขียนง่ายขึ้น โดยเว้นว่างไปทั้งภาพเลยก็เป็นได้!

ข่าวล่าสุด

ผลบอล โยเคเรสซัดโทษ! อาร์เซน่อล1-0 เอฟเวอร์ตัน,ลิเวอร์พูล 2-1