เชื้อความรุนแรงกัดกร่อนรัฐบาล" บิ๊กตู่"
*********
*********
โดย อสนีบาต
"ไม่ใช่ครั้งแรก และไม่น่าเป็นครั้งสุดท้าย"
ต่อเหตุการณ์ เมื่อวันที่28 มิ.ย.62 กลุ่มคนปริศนาจำนวน 4 คน รุมทำร้าย "สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์" หรือ"จ่านิว" นักเคลื่อนไหวทางการเมืองจนได้รับบาดเจ็บสาหัส
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.62 ห่างกันเกือบครบเดือนจากเหตุการณ์ล่าสุด "สรวิญช์" ถูกกลุ่มคนร้ายประมาณ 5 คน ขี่มอเตอร์ไซค์ใส่หมวกกันน็อคเข้ารุมทำร้ายที่ป้ายรถเมล์แถวถ.รัชดาภิเษก
จำนวนคน พฤติการณ์เข้าทำร้ายมีจำนวนใกล้เคียงเสียเหลือเกิน เพียงแต่ครั้งล่าสุด ผู้ถูกกระทำได้รับบาดเจ็บหนักกว่าครั้งแรกถึงขั้นรังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ออกปากว่า " นี่ต้องการทำร้ายถึงกับให้พิการหรือปางตายกันเลยทีเดียว"
ย้อนกลัยไปสมัยคสช.เรืองอำนาจ "จ่านิว" เคยถูกกลุ่มทหารอุ้มข้ามกำแพงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต
เดชะบุญกล้องวงจรปิดทำงานจึงกลายเป็นข่าวทันที ข้อมูลจาก"โบว์" ณัฏฐา มหัทธนา แกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ระบุ
กรณีที่เกิดขึ้นกับ "จ่านิว" ครั้งล่าสุด ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ในฐานะนายกรัฐมนตรีสมัยสองสั่งการ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(สตช.) เรียกประชุมด่วนเร่งคลี่คลายหากลุ่มคนร้ายมาดำเนินคดี
ถือเป็นความกระตือรือร้นของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ต่อการพิทักษ์รักษาชีวิตและทรัพย์สินพี่น้องประชาชนที่อยู่ในบ้านเมืองอย่างยิ่งนัก
ถึงขนาด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงและรมว.กลาโหม สื่อสารผ่านโฆษกกระทรวงกลาโหมให้ออกมาประกาศนโยบายด้านความมั่นคง "การใข้ความรุนแรงทางสังคมจะปล่อยให้เกิดขึ้นกับใครไม่ได้เด็ดขาด"
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ"จ่านิว" ครั้งนี้ รัฐบาล"บิ๊กตู่" ให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ
ช่างไม่เหมือนกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. และคงไม่ต้องกล่าวถึงเหตุการณ์"จ่านิว" โดนนายทหารอุ้ม ซึ่งทั้งสองเหตุการณ์ก่อนครั้งนี้ เรื่องราวเงียบหายเข้ากลีบเมฆ
ท่ามกลางคำถามตามมา จะต้องปล่อยให้ผู้เห็นต่างทางการเมืองถูกทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผบ.ตร.จึงเครื่องร้อนสั่งประชุมคลี่คลายคดีโดยเร็ว (ถ้าเบื้องบ้นไม่สั่งมาก็อยู่นิ่งๆไปอย่างนั้น)
หรือเป็นมาตรฐานของผู้มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองในการติดตามดำเนินคดีไปแล้ว กล่าวคือ
-หากการถูกทำร้ายไม่ถึงขั้นเลือดตกยางออก ยังไม่ต้องกระวีกระวาดติดตามดำเนินคดี โดยมองแค่ว่า เป็นปัญหาส่วนตัวบ้าง ทะเลาะวิวาทตามปกติบ้าง ปรับแค่ 500 บาทแล้วจบไป เป็นต้น
-เพราะเป็นเพียงแค่ผู้เห็นต่างยืนฝั่งตรงข้ามรัฐบาล แค่ชายตามองเท่านั้น
หรือเป็นมาตรฐานของผู้อยู่ในอำนาจทางการเมืองทีว่าหาก"จ่านิว" ยืนอยู่ฟากรัฐบาลเกิดโดนทำร้าย ก็อาจได้รับการปฏิบัติ ด้วยการติดตามจับกุมอย่างรวดเร็ว???
ไม่ว่าจะเป็นผู้เห็นต่างทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นผู้สนับสนุนรัฐบาล หรือแม้แต่ประชาชนตาดำๆ ควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม เจ้าหน้าที่ดูแลบ้านเมืองไม่ควรปล่อยผ่านมองว่าธุระไม่ใช่มิใช่หรือ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังสะท้อนถึงประสิทธิภาพรัฐบาลคสช. ตลอดห้าปีซึ่งประกาศนโยบายแรกๆ ในการเข้ามาสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ไม่แบ่งสีแบ่งฝ่าย ก็ดูจะไม่ได้ผลนัก
เพราะในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา นักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่นอกจากถูกดำเนินคดี ก็ยังมีเหตุการณ์ลอบทำร้าย พร้อมกับการหายตัวอย่างเป็นปริศนา
ไม่ว่าจะเป็นกรณีของ"โกตี๋" วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ แกนนำเสื้อแดงปทุมธานี หรือ กรณี"สุุรชัย แซ่ด่าน" ไม่อาจทราบชะตากรรมแต่กลับมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์พาดพิงไปถึงกลุ่มคนในรัฐบาลในทางไม่สู้ดี
จริงอยู่ยังไม่ปรากฎหลักฐานยืนยันชัดว่ารัฐบาลคสช.ทำให้บุคคลเหล่านี้หายสาบสูญ แต่ความเป็นรัฐบาลมิอาจปฏิเสธที่จะช่วยสร้างความเข้าใจอันดีต่อสาธารณะชน
ดีกว่าปล่อยผ่านเหมือนเช่น กรณีการทำร้ายซ้ำสองกับ "จ่านิว" จนถูกให้สังคมมองภาพสถานการณ์ทางการเมืองภายใต้ระบอบประชาธิปไตย่ในยุคพล.อ.ประยุทธ์ เรืองอำนาจต้องการใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องตัดสิน
สิทธิเสรีภาพในการเคลื่อนไหวแสดงความคิดเห็น ควรได้รับการคุ้มครอง ไม่ถึงขั้นต้องทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน ขณะเดียวกันนักเคลื่อนไหวทางการเมืองต้องไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพผู้อื่น ปฏิบัติตามกรอบกฎหมายเดียวกัน
ในทางการเมือง ย่อมเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องเตรียมรับมือต่อผลที่กำลังตามมา เพราะทันทีที่นักเคลื่อนไหวทางการเมืองรายหนึ่งรายใดถูกทำร้ายร่างกาย
ย่อมเข้าทางฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลออกมาเคลื่อนไหวโจมตี นักการเมืองฝ่ายไม่สนับสนุนรัฐบาล องค์การสิทธิมนุษยชนสากลพร้อมกระโดดจับประเด็น "จ่านิว" นำมาสร้างประโยชน์ให้ตนเอง รุมขย้ำใส่รัฐบาลไร้ประสิทธิภาพในการดูแลพิทักษ์รักษาชีวิตและทรัพย์สิน
"เป็นเรื่องที่รับรู้กันอยู่แล้ว ทางการเมืองจะต้องออกมาสูตรนี้"
แต่รัฐบาลควรกลับมาทบทวนสิ่งที่ผ่านมาทำอะไรไปบ้าง มิใช่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่ากลายเป็นจุดอ่อนให้ฝ่ายเห็นต่างรุมถล่ม
รัฐบาล "บิ๊กตู่"ต้องคำนึง ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม แต่เขาคือประชาชนคนไทย
ในทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยหากปล่อยให้มีการบ่มเพาะเชื่อความรุนแรงขยายตัวออกไปยิ่งทำให้รัฐบาล"บิ๊กตู่" ทำงานยากขึ้น
โดยเฉพาะกับถ้อยแถลงหลังรับพระราชโองการโปรดเกล้าฯนายกรัฐมนตรีสมัยสอง "ต้องการสร้างสรรค์สังคมให้มีความรัก ความสามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์..."
...จะทำสำเร็จหรือไม่...