เปิดชีวิต "นักยึดรถ" ทางเสี่ยงตายแต่รายได้งาม
ทำความรู้จักกับอาชีพ "ฝ่ายเร่งรัดหนี้สินรถ" อาชีพที่หลายครั้งก็ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นความตายจาก "ลูกหนี้" ที่จงใจเบี้ยว
ทำความรู้จักกับอาชีพ "ฝ่ายเร่งรัดหนี้สินรถ" อาชีพที่หลายครั้งก็ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นความตายจาก "ลูกหนี้" ที่จงใจเบี้ยว
***********************
โดย...รัชพล ธนศุทธิสกุล
ไฟแนนซ์เปิดศึกชุลมุลรุมซ้อมแย่งรถ... ไฟแนนซ์ยึดรถโดนตืบอ่วม.... ฯลฯ ข่าวเกี่ยวกับ "ฝ่ายเร่งรัดหนี้สิน" ที่มักเรียกติดปากกันว่า "ไฟแนนซ์" ที่มาติดตามรถจากลูกหนี้ที่เช่าซื้อไปมักปรากฏให้เห็นตามหน้าสื่ออยู่บ่อยๆ
ผู้คนจำนวนไม่น้อย มองว่า ผู้ที่ทำหน้าที่ติดตาม "ยึดรถ" ที่ค้างชำระหนี้เหล่านี้เป็นบุคคลอันตราย ทว่าความจริงอีกด้านหนึ่ง พวกเขาก็เป็นฝ่ายถูกกระทำไม่น้อยจากบรรดาลูกหนี้เช่นกัน
ด้วยหน้าที่และปากท้องที่ต้องเลี้ยงดู พวกเขาจึงไม่ค่อยออกมาเปิดเผยตัวและเรื่องราวของอาชีพการงานมากนัก
วันนี้โพสต์ทูเดย์ขอชวนไปฟังเรื่องราวเส้นทางในสายอาชีพนี้จากปากผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์มายาวนาน.....
ทำความรู้จักฝ่ายเร่งรัดหนี้สิน “รถ”
ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องชีวิตของคนยึดรถที่ว่าเลือดแลกเงิน ของ “ฝ่ายเร่งรัดหนี้สิน” หรือที่บ้านเราเรียกว่า “คนยึดรถ” การทำงานในรูปแบบดังกล่าวมีด้วยกัน 2 ระบบ คือ 1.การทำงานภายใต้นามบริษัทไฟแนนซ์ 2.การทำงานจากการได้รับว่าจ้างให้ติดตามส่วนตัว มีทั้งในรูปแบบ ‘ผู้รับเหมา’ ที่จัดตั้งกันขึ้นมา และ ‘บริษัท’ ขนาดเล็กถึงใหญ่มีทีมงานเครือข่ายทั่วประเทศ
ประภวิษณุ์ โคกิฬา อดีตพนักงานธนาคารแห่งหนึ่ง แผนกสินเชื่อรถ ฝ่ายเร่งรัดหนี้สิน บอกอีกว่า นอกจากชื่อที่ระบุความแตกต่างแล้ว ระบบการทำงานก็แตกต่างกันเหมือนขั้วคนละปลายฝั่งตรงข้ามโดยมีคนเช่าซื้อรถเป็นผู้อยู่ตรงกลางของคานกฎหมายที่รองรับ
กล่าวง่ายๆ คือ ‘ยึดในระบบ’ จะเริ่มจากการโทรศัพท์ตามค่างวดเมื่อลูกค้าค้างจ่าย ตั้งแต่ 1-3 เดือน ขึ้นอยู่กับประวัติของลูกค้า ต่อมาหากไม่ได้เงินค้างจึงจะลงพื้นที่ออกตามค่างวด โดยการลงพื้นที่จะเน้นเจราจาเพื่อให้จ่ายเงินค่างวด
“หากไม่ประสงค์จ่ายก็จะมีใบให้เซ็นหนังสือคืนรถว่าจะยินยอมคืนรถหรือไม่ ถ้าได้ก็รับรถคืนก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ยอมให้รถคืนก็จะให้เซ็นลายลักษณ์อักษรว่าไม่ยินยอมพร้อมกับถ่ายรูป เพราะการทำงานยึดรถในระบบค่าคอมมิชชั่นที่ได้รับมาจากการปิดยอดจ่าย และตามอำนาจกฎหมายห้ามบิดกุญแจและยึดรถขับกลับมา ถ้าลูกค้าไม่ยินยอมก็นำเอกสารมาเขียนสำนวนยื่นให้ฝ่ายกฎหมายของบริษัทดำเนินการยกเลิกสัญญาพร้อมกับส่งฟ้องศาล”
หน้าที่ของ ‘ยึดนอกระบบ’ จึงรันต่อโดยรับการว่าจ้างของไฟแนนซ์ในส่วนนี้ประภวิษณุ์ระบุย้ำ ก่อนที่จากนั้นเมื่อหมายศาลมาถึงยึดนอกระบบก็จะออกตามหารถและนำรถกลับมาสถานเดียวเท่านั้น ถึงจะได้ ‘ค่าจ้าง’ ซึ่งในกรณีผู้รับเหมา หรือ ‘ค่าคอมมิชชั่น’ ซึ่งจะมีเพียงส่วนน้อยที่จะได้รับงานให้ตามค่างวดเพราะไม่หมดสัญญาเช่าแต่หาตัวไม่พบ
“ทำงานในส่วนตรงนี้ไม่ค่อยอันตราย 400-500 ยอดทวงค่างวดทุกๆ เดือนที่ได้ทำ ไปทำอย่างมากก็แค่โดนด่า ไอ้นั้น ไอ้นี่ไปเรื่อย แต่ถ้าเกิดเป็นยึดนอกระบบ แม้จะอยู่ในรูปแบบกฎหมายไม่ต่างกัน แต่ชีวิตการทำงานเสี่ยงมากกว่านั้น”
"นักยึดรถนอกระบบ" งานเสี่ยงแต่รายได้งาม
จากเด็กซ่อมรถสู่นักยึดรถนอกระบบ เดช พลภัทร (นามสมมุติ) คือเด็กหนุ่มที่ถือได้ว่าเด็กที่สุดในวงการ โดยเริ่มเข้าวงการตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี แต่ด้วยหน่วยก้านที่สูงยาวเมื่อบวกกับการกรำงานช่างจึงดูโตและน่าเกรงขาม อีกทั้งประสบการณ์ของความเป็นวัยรุ่นตามประสาหนุ่มกระทงทำให้เขาโชกโชนพอตัวและนำมาซึ่งงานนักยึดรถ
“อยากจะปลดหนี้ พอได้รู้จักกับรุ่นพี่โตๆ ที่ทำในวงการนี้เราก็เลยเลือกที่จะเข้ามาทำงานเก็บเงินเพราะเงินดี”
ชายหนุ่มเบื้องหน้ากล่าวสั้นๆ เช่นเดียวกับระยะเวลาประมาณเกือบ 3 ปี ที่คลุกคลีตีโมงในวงการยึดรถ แต่กระนั้นก็เกินพอสำหรับตัวเขาที่เราจะทำความรู้จักกับอาชีพเสี่ยงๆ แบบนี้ในสังคมไทย
“มันเป็นที่ของเสือหิวสิงห์โหย เต็ม100 45% คือเสือ ออกมาดโหดหน่อยๆ ถ้าเจออ่อนกว่า ถ้าเจอเจ๋งกว่าก็พูดคุยได้ก็เอาไม่ได้ก็ถอย อีก 45 % สิงห์ตัวพ่อ ต้องเอารถกลับ โหด ดุ วงการนี้ส่วนน้อยแค่10ใน100ที่จะพูดคุยบอกทางแก้วิธีลักไก่ให้รถมีใช้ต่อ มันก็มีเรื่องกับลูกค้า เพราะลูกค้าเขาก็กวนเกือบทั้งหมดอารมณ์คนจะโดนเอาของตัวเองไป”
เรื่องที่ว่าก็ง่ายๆ เมื่อคนหนึ่งมาเพื่อยึด แต่อีกคนหนึ่งไม่ยอมให้ยึด ไม่วันใดวันหนึ่งก็ต้องเดินทางมาถึงสักรายหนึ่ง และตัวกำหนดคู่ไฟท์เริ่มถัดหลังจากต้นเดือน 2-3 วัน เพื่อรอลูกค้าที่เลยค้างค่างวดจ่าย โดยงานใบสั่งจะเข้ามาที่บริษัทจากนั้นนักยึดต้องมาแยกใบผู้ว่าจ้าง ลิสซิ่งไหนจ้าง ก่อนแยกพื้นที่และจัดการวางแผนเส้นทาง
“เดือนๆ หนึ่งจะมีใบให้ติดตามราวๆ ไม่เกิน 50 ราย ถ้าจะเฉลี่ยคราวๆ มากน้อยคละกันไป และเวลาไปยึดพวกนี้เขาจะไม่ค่อยให้ยึดในพื้นที่ตัวเอง เราก็จะต้องวางว่าพื้นที่เราตรงไหนถึงตรงไหน จะได้ไม่ย้อนไปมา จากนั้นเช็คว่ายังอยู่ที่เดิมหรือไม่ บางคนย้ายที่อยู่ไปแล้ว เราก็ต้องไปตามสืบเพราะว่าบางทีมันมีที่อยู่ถึง 3 ที่อยู่ ที่อยู่ตามบัตรประชาชน ตามทะเบียนบ้าน และเอกสารที่ทำงาน เราต้องไปดัก บางครั้งรอครึ่งวันให้ได้ข้อมูลในการตามตัว หากง่ายหน่อยก็เวลาเจอรถนอกบ้านเราก็ต้องเข้าไปโชว์หมายศาลทันทีก็เข้ายึดรถเขาได้ แต่ถ้ารถอยู่ในบ้าน เราจะไปไหนไม่ได้ต้องเฝ้า รถไปไหนเราไปด้วย ถ้าเขาอยู่ในบ้านเราก็เฝ้าหน้าบ้าน รอไม่ไหวก็ถือหมายศาลเข้าไปบอกว่าจะมานำรถกลับ นั้นแหล่ะชีวิตคนยึดรถเป็นแบบนี้”
ทั้งนี้ในแต่ละเดือนหมายศาลยึดรถจะมีจำนวนที่มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความสามารถในการยึดรถ ดังนั้นยิ่งเก่งในการติดตามนำรถกลับมา นอกจากจะได้เงินในจำนวนที่มาก ยังเป็นที่ต้องของการบริษัทที่จัดไฟแนนซ์ คนในกลุ่มของ ‘ยึดนอกระบบ’ ส่วนใหญ่จึงเป็นกลุ่มอดีตข้าราชการทหารและตำรวจ รวมไปถึงพนักงานยึดลิสซิ่งที่หลั่งไหลเข้ามาสู่สายทางระบบ
เจอลูกหนี้ทั้งควักปืนขู่ไปจนถึงดักยิง
วันละ 1 กระบอก คือยอดจำนวนปืนที่นักยึดรถต้องพบเจอ ไม่ว่าจะออกมาขัดถูหรือยกข่ม ไปจนถึงดักยิง ในทุกๆวันที่ต้องทำงานติดตามรถกลับสู่ผู้ว่าจ้าง
“ราคารถมันไม่ใช่ถูกๆ ยิ่งพื้นที่ไกลๆ เขาก็เก็บกันได้ง่ายๆ น้อยที่จะกระทืบ โดดมามีด มาปืน ปืนนี้ส่วนใหญ่ เพื่อนๆ หลายคนมาเล่าโดนไล่ยิงต้องขับรถหนี เรื่องของผมพอทำไปแรกๆ ไม่ถึงเดือนเริ่มจากจะโดนตบคาปั๊มน้ำมันเพราะไปซีนเทปประตูรถเพื่อจะยึดรถ ดีที่เบรกเตือนเขาไว้ทัน หลังๆ ทำงานไปก็เจอลูกค้าเอาปืนมานั่งเช็ดๆ ก็เลยต้องพกลูกซองไทยประดิษฐ์บ้างเหน็บติดเอว เพราะผมถือว่าผมป้องกันตัว แต่พอทำไปสักปีใบยึดรถเยอะกว่าทวงค่างวด ก็เจอแต่ปืน แต่พวกขัดๆ เช็ดๆ ไม่ค่อยกลัว คนจริงเขาไม่โชว์”
ภัทรพลบอกว่าถึงจะพกแต่ก็ไม่เคยได้ใช้สักครั้งเดียวด้วยความเสี่ยงในการเดินทาง เนื่องจากไม่รู้ว่าด่านจะตั้งตรงไหนบ้างดีร้ายเจอตรวจค้นอนาคตก็ดับก่อนเอาได้ง่ายๆ
และเรื่องตลกก็เกิดขึ้นพอไม่พกปืนเขาก็เกือบตายทุกเวลา วันหนึ่งหลังเจราจาลูกค้าที่จ่ายตลอดจากการสืบประวัติกระทั่งมีหมายศาลยึดรถ จำเป็นอยู่เองที่ต้องเข้าไปยึดตามหน้าที่ แต่เมื่อไปในบ้านพร้อมแจ้ง เจ้าของรถบอกให้กลับมาใหม่เวลาเที่ยง ทว่าพอกลับมาเจ้าตั้งท่าขัดปืนพร้อมบอกว่า “เอาไปเลยรถ” แต่ “ไปเอาลูกปืนไปก่อนนะ” ท่ามกลางบรรยากาศรอบข้างวัยรุ่นเต็มบ้าน เมื่อแจ้งเหตุถึงศูนย์สำหรับสถานการณ์ได้คำตอบให้ถอย แต่แล้วก็ไม่วายถูกดักยิง
“เสียงกระสุนเฉียดตัวถังรถดังฟิ้ว” เขาบรรยายถึงนาทีเหตุการณ์ที่รอดมาได้อย่างเฉียดฉิว แต่ก็ยังไม่หวิวเท่าเหตุการณ์ต่อมาอย่างที่เขาบอกว่าคนจริงไม่โชว์ เงียบๆ แต่แค่กริ๊กเดียวหากปลายสายฝั่งภัทรพลไม่ได้รู้จักมักคุ้นแน่นอนว่าต้องถูกอุ้มฆ่า
“ทุกครั้งที่ไปเราก็พี่ครับ ไม่มีใครยึดรถที่ไหนไปเฮ้ย! มันไม่ใช่ในหนัง เรื่องจริงคือเราไม่รู้ว่าเขามีอะไรยังไง ไปก็ไปกันตัวเปล่าๆ ชุดก็ชุดสุภาพเสื้อเชิ๊ตเสื้อโปโลกับกางเกงสแลค บางคนก็มีเสื้อตราของบริษัท เพราะเราทำงานภายใต้กฎหมายเอาอำนาจหมายศาลมาต้องแสดงตัวให้เขารู้”
และนี้ก็เป็นเหตุที่ส่วนใหญ่ไม่นิยมพกอาวุธกัน แต่จะเลือกไปกันเป็นทีมงาน 2-5 คนตามแต่วาระ ซึ่งทีมที่เพิ่มมานี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางการยึดบริษัท แต่เป็นการช่วยให้ทำงานได้ง่ายขึ้น
“เพื่อนชวนเพื่อน เอาครอบครัวมาทำงาน เมีย ลูกคนโตๆ น้า อา เขาก็จะเอามาทำ เพราะลูกค้า 80% ทำให้มีเรื่อง คนหนึ่งจะได้ถ่ายคลิป อีกคนดูลาดเลา อีกคนคุมเชิง เงินเดือน 15,000 ไม่ร่วมค่าน้ำมัน มันจะไปพออะไรถ้าไม่โหดมันก็อยู่ยาก มันก็ปะทะกันแบบในข่าว ก็เพราะเล่นมากันฉุนเฉียวอย่างนี้ทั้ง2ฝ่าย”
เจอลูกหนี้ตามล้างแค้นก็มีอย่าคิดว่ารอด
10 ปี ล้างแค้น ก็ยังไม่สาย เป็นคำจำกัดความที่ตรงกับสายงานยึดรถนอกระบบ เพราะแม้ว่างานจบผ่านเป้าคือครบตามได้รับมอบหมาย ทว่า ‘คนถูกยึด’ เสียทรัยพ์ไปต่อหน้าย่อมไม่มีวันลืม
“ตามข้ามพื้นที่มาเลยเพื่อมากระทืบผมพร้อมพวกนับสิบ” เขาเล่าวินาทีชีวิตที่แม้ออกมาจากภาระหน้าที่หลังหันหลังออกแต่ก็ยังไม่วายที่จะต้องเจอเส้นมรณะพาดผ่านให้ชีวิตระทึก
“ผมไปยึดพี่ที่เลิกกับเมีย พ่อแม่ตายหมด จริงๆ ผมก็แนะนำเขาแล้วว่ามีวิธีให้รถก็ยังมีใช้ แถมได้เงินสำรองอีกด้วย แต่เขาเลือกที่จะรับปากว่าจะหามาจ่ายในเย็นวันนั้น ทีนี้โทรศัพท์มันบันทึกเสียงมันก็มัดตัวเขา พอถึงเวลาที่กำหนดเขามาจ่ายให้ไม่ได้ ก็ยกรถไป นั้นคือสาเหตุ และพอได้อธิบายเพื่อนๆ เขาก็เข้าใจ เขาก็ยอมถอยกลับไป
"คือเอาจริงๆ ความคุ้มมันน้อยมาก กว่าจะรอรถยกหรือกว่าจะเอารถเขาไปเก็บที่พักรถและก็ต้องกลับมาเอารถตัวเองอีก ค่าใช้จ่ายส่วนนี้เราออกเองทั้งหมด ลูกค้าคนอื่นๆ เราก็ต้องเสียไปหมดในการยึดรถหนึ่งครั้ง ยกเว้นแต่รถแพงๆ พวกล้านอัพขึ้น อันนี้ส่วนแบ่งก็จะได้เยอะ เพราะเวลาขายทอดตลาด ได้เท่าไหร่ เขาก็จะเอามาหารกับค่างวดที่จ่ายไป เราก็ได้เต็มๆ หลักแสนมีแน่นอน แต่ถ้ารถไม่แพงคิดง่ายๆ ยิ่งค่างวดผ่อนน้อยงวด เราก็ยิ่งได้เยอะ เพราะรถยังใหม่ราคาดีกว่า”
ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกๆ รอบ 1 ปี จะมียอดผู้ค้างการยึดรถถูกรวบรวมรายชื่อเป็นเล่มๆ ไม่ต่างจากใบประกาศจับของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งยอดนั้นหากใครทำได้ผลลัพธ์ทั้งหมดในยอดงวดที่ค้างชำระจะตกเป็นของผู้ที่ยึดเต็มๆ
“ทีมงานหรือพนักงานในแต่ละพื้นที่ก็หลักร้อยกว่าคน ไม่รวมทีมงานเฉพาะที่แต่ละคนจะนำมาเข้าร่วม แต่ก็ใช่ว่าจะทำกันง่ายๆ มันมีขบวนการเอารถหนีออกต่างประเทศอีก การจะหาเงินจากตรงนี้ต้องพึ่งดวงและโชค”
กฎหมาย “ยึดรถ” แบบไหนได้-ไม่ได้
จากเรื่องราวชีวิตของนักยึดรถทำให้รู้ระบบตั้งแต่ขั้นตอนการทวงไปจนถึงติดตามยึด อย่างไรก็ดีในข้อกฎหมายให้ได้รับรู้อย่างน้อยๆ เพื่อลดแรงปะทะที่จะเกิดขึ้นทั้ง 2 ฝ่าย
1.การยึดรถผู้เช่าซื้อต้องค้างชำระ 3 งวดติดต่อกัน ก่อนยึดรถอีก 1 เดือน รวมเป็น 4 เดือน จึงจะสามารถยึดรถได้ ถ้ายึดรถก่อนหน้านี้จะมีความผิดตาม พรบ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522
2.ห้ามประจานหนี้ ผู้ทวงถามหนี้ห้ามกระทำการทวงถามหนี้ด้วยการขมขู่ การใช้ความรุนแรง หรือการกระทำอื่นใดที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ร่างกาย ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของลูกหนี้หรือผู้อื่น มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และยังห้ามแจ้งหรือเปิดเผยเกี่ยวกับความเป็นหนี้ของลูกหนี้ให้แก่ผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทวงถามหนี้ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3.การยึดรถถ้าผู้เช่าซื้อไม่ยินยอมให้ยึดรถ ยึดรถไม่ได้ หากมีการบังคับขู่เข็ญหรือไล่ให้ผู้เช่าซื้อลงจากรถหรือกระชากกุญแจรถไป หรือเอากุญแจสำรองมาเปิดรถและขับหนีไป การกระทำดังกล่าวมีความผิดต่อเสรีภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 และถ้ากระทำการโดยมีอาวุธหรือร่วมกระทำความผิดด้วยกัน ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
4.การยึดรถได้ตามพรบ.คุ้มครองผู้บริโภคเรื่องการประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2555 ไม่ได้ให้อำนาจให้ยึดรถที่เช่าซื้อได้ หากแต่บริษัทไฟแนนซ์จะเข้าครอบครองรถคันที่เช่าซื้อจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ให้เช่าซื้อเป็นหนังสือหรือหมายบังคับคดีของศาลที่ให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถจึงจะทำการได้


