posttoday

"ประพัฒน์"แนะเลิกเล่นการเมืองแบบเก่า หันมาสู้กันที่นโยบาย

10 กันยายน 2561

"ประพัฒน์"หนุนปลดล็อกการเมืองให้ไทยเข้าสู่โหมดเลือกตั้งโดยเร็ว อัดพวกซื้อเสียงล่วงหน้าเป็นการเมืองแบบเก่า แนะสู้กันด้วยนโยบาย

"ประพัฒน์"หนุนปลดล็อกการเมืองให้ไทยเข้าสู่โหมดเลือกตั้งโดยเร็ว อัดพวกซื้อเสียงล่วงหน้าเป็นการเมืองแบบเก่า แนะสู้กันด้วยนโยบาย

เมื่อวันที่ 10 ก.ย. นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ อดีต รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในยุครัฐบาล นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ กล่าวตอบคำถามผู้สื่อข่าวกรณีมีข่าวการซื้อเสียงล่วงหน้าว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าที่จะถึงนี้ ตนเห็นว่าควรจะเป็นการเลือกตั้งที่ขาวสะอาด ตนไม่อยากให้เกิดความด่างพร้อยจริงๆ เพราะจุดหนึ่งที่ฝ่ายตรงข้ามกับฝ่ายประชาธิปไตยอ้างมาโดยตลอดว่า การเลือกตั้งมีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงกันอย่างไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม จึงเป็นข้อด่างพร้อยของฝ่ายที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

"ถ้าหากทุกคนอยากที่จะต่อสู้เพื่อให้ระบอบประชาธิปไตยมีความยั่งยืน ก็อยากให้นักการเมืองทุกคนเล่นการเมืองด้วยความยุติธรรม และละเว้นเรื่องการซื้อสิทธิ์ขายเสียงแบบเก่าเสีย แต่ให้เอาความนิยมด้านความคิด นโยบาย และการทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชน จะยั่งยืนกว่า ขณะเดียวกันพี่น้องประชาชนก็ควรยั้งคิดด้วยว่า การที่เราไปรับเงินจากนักการเมืองเพียงไม่กี่บาทมา แล้วถูกนักการเมืองเหล่านั้นเอาอำนาจของเราไปถึง 4 ปี มันไม่คุ้มหรอก สู้เราเลือกเขาเข้าไปในรัฐสภาใช้ทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนรวมจะดีกว่า ต้องการประโยชน์อะไร ก็เสนอให้เป็นนโยบายทางการเมือง ให้นักการเมืองไปทำงาน จะเกิดประโยชน์มากกว่าในระยะยาว"นายประพัฒน์กล่าว

นายประพัฒน์ กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องจะปลดล็อก หรือคลายล็อกทางการเมืองเมื่อไหร่นั้น ถ้าพูดในฐานะของประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ก็อยากจะเห็นประเทศไทยรีบก้าวไปสู่การเลือกตั้งโดยเร็ว เพื่อให้ประชาชนได้มีอำนาจเลือกอนาคตของตัวเอง เพราะประชาชนก็ต้องการประสบการณ์การเรียนรู้ ถ้าเลือกนักการเมืองไปแล้ว ได้คนไม่ดีมาบริหารประเทศ การเลือกตั้งครั้งใหม่เขาก็ตัดสินใจเลือกคนใหม่ได้

"ส่วนนักการเมืองทั้งหลาย ขอให้ทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์ สิ่งที่สำคัญคือนักการเมืองทุกคนต้องเปิดหัวใจไว้ 1 ดวง เพื่อที่จะคุยกันได้ และปกป้องระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่เอาความบาดหมางส่วนตัว หรือความบาดหมางของพรรคมาเป็นตัวตั้ง จนกลายเป็นยืนอยู่กันคนละขั้ว เพราะแท้จริงแล้วทุกพรรคการเมืองล้วนยืนอยู่ฝ่ายประชาชนด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นจึงสมควรที่จะเปิดหัวใจไว้สัก 1 ห้องสำหรับไว้นั่งลงพูดคุยกันได้"

"เพราะระบอบประชาธิปไตย ถือว่าเป็นระบอบการปกครองที่ประชาชนสามารถตรวจสอบกันได้ แน่นอนไม่มีระบอบการปกครองไหนจะดีที่สุด 100% แต่อย่างน้อยที่สุดระบอบประชาธิปไตย ก็เป็นระบอบที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะเลือกคนไปทำงานแทนตัวเองได้ เลือกอนาคตของเขาเองได้ ไม่ใช่จะเลือกใครที่ไม่รู้จัก ไม่มีสายใยผูกพันกัน เข้ามาทำงานแทนตัวเอง เพราะอย่างนี้จะเป็นอันตรายมาก"นายประพัฒน์กล่าว

นายประพัฒน์กล่าวอีกว่า หลังการเลือกตั้ง จะมีความรุนแรง หรือจะมีการทำปฏิวัติรัฐประหารอีกหรือไม่นั้น ตนพยากรณ์ไม่ได้ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลชุดปัจจุบันด้วยว่า จะสามารถสร้างความรู้ ความเข้าใจเรื่องความขัดแย้งของขั้วการเมืองต่างๆ ให้ดีขึ้นได้หรือไม่ ซึ่งต้องยึดเป็นหน้าที่สำคัญของรัฐบาลนี้เลย

ทั้งนี้คนไทยก็คือคนไทย จะฆ่ากันให้ตายยังไงก็เป็นคนไทยด้วยกัน ดังนั้นจะอยู่คนละพรรค คนละขั้ว ต่างความคิด อย่างไรก็คือคนไทย ที่พูดภาษาเดียวกัน จึงไม่มีอะไรที่จะพูดคุยกันไม่ได้เลย ในทางกลับกัน ถ้ารัฐบาลชุดนี้เลือกข้าง ก็จะทำให้เกิดความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเช่นกัน