posttoday

ผลสอบไทยเข้มแข็งกระทรวงหมอ สายล่อฟ้าเสื่อมศรัทธา‘รัฐบาลมาร์ค’

28 ธันวาคม 2552

โดย...ทีมข่าวในประเทศ

โดย...ทีมข่าวในประเทศ

นับตั้งแต่นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงโครงการไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ที่มีนพ.บรรลุ ศิริพานิช เป็นประธาน เมื่อวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา และเริ่มเดินเครื่องหาความจริงให้สังคมปรากฏครั้งแรกในวันที่ 20 ตุลาคม จนถึงวันนี้ นับรวมระยะเวลา 70 วัน

ในที่สุดผลการสอบก็ถึงมือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีแล้ว โดยรายงานสรุปมีกว่า 4,733 แผ่น และผลพบว่า “การจัดตั้งงบประมาณดังกล่าว มีพฤติกรรมและพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้ว่า ส่อไปในทางที่จะทำให้เกิดการทุจริตจริง”

โดยผู้ที่มีพฤติกรรมเอี่ยวให้คณะกรรมการฟันธงออกมาในครั้งนี้มี 12 ราย แบ่งเป็น ข้าราชการการเมือง 4 ราย ข้าราชการประจำทั้งที่เกษียณอายุราชการไปแล้วและที่ยังทำหน้าที่อยู่จำนวน 8 ราย ดังมีรายนามและฐานความผิดดังต่อไปนี้

ข้าราชการการเมือง 4 รายได้แก่

1.นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข ฐานความผิดบกพร่องต่อหน้าที่และไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบที่เกิดขึ้นในสธ.ในฐานะเจ้ากระทรวง

2.นายมานิต นพอมรบดี รมช.สาธารณสุข ฐานความผิดมีพฤติกรรมที่ส่อในการทุจริต คือ ไม่ดูแลโครงการไทยเข้มแข็งแต่ล้วงลูกดึงงบเข้าจังหวัดราชบุรี และนัดทานข้าวกับบริษัทเจ้าของรถยนต์ผู้ผลิตรถพยาบาล รวมถึงเครื่องพ่นฆ่ายุงลาย

3.นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู อดีตเลขานุการรมว.สาธารณสุข ฐานความผิดมีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริตโดยนัดทานข้าวร่วมกับนายมานิต และผู้ประกอบการผลิตรถพยาบาล

4.นพ.กฤษดา มนูญวงศ์ อดีตที่ปรึกษารมว.สาธารณสุข ฐานความผิดเป็นผู้ล็อบบี้ให้มีการจัดซื้อเครื่องทำลายเชื้อด้วยระบบอุลตร้าไวโอเลต(ยูวีแฟน)

ส่วนข้าราชการประจำ 8 ราย ได้แก่

1.นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ อดีตปลัดสธ. ขณะนี้เกษียณอายุราชการไปแล้ว ฐานความผิดบกพร่องต่อหน้าที่ เพราะโครงการใหญ่ที่มีงบประมาณมากระดับ8.6 หมื่นล้านบาทกลับไม่ดูแลด้วยตนเอง เปิดช่องให้เกิดการทุจริตได้

2.พญ.ศิริพร กัญชนะ อดีตรองปลัดสธ. ขณะนี้เกษียณอายุราชการไปแล้ว ฐานความผิดไม่เอาใจใส่ต่อโครงการที่มีงบประมาณมาก โดยให้สำนักงานสาธารณสุขภูมิภาคที่มีผู้ทำงานกว่า 50 คนดูแล โครงการใหญ่ขนาดนี้ เปิดช่องให้เกิดการทุจริตได้

3.นายกสินทร์ วิเศษสินธุ์ อดีตผู้อำนวยการกองแบบแผน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ขณะนี้เกษียณอายุราชการไปแล้ว ฐานความผิดที่มีการปรับปรุงแบบแผนทำให้เปิดช่องให้เกิดการทุจริตได้

4.นพ.เรวัต วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ ฐานความผิดจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ที่ราคาแพงผิดสังเกต

5.นพ.สุชาติ เลาบริพัตร อดีตผู้อำนวยการสำนักงานบริหารสาธารณสุขภูมิภาค ขณะนี้อยู่ย้ายไปช่วยราชการที่สำนักงานปลัดสธ. ที่คณะกรรมการชี้มูลของสธ.ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อเครื่องยูวีแฟน

ส่วนรายที่ 6-8 พบว่าบกพร่องต่อหน้าที่แต่ไม่มีหลักฐานว่ามีการทุจริต ได้แก่

6.นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดสธ.ในปัจจุบัน ฐานความผิดที่สมัยเป็นรองปลัดสธ.รับผิดชอบสบภ. แต่โครงการดังกล่าวเป็นหน้าที่ของพญ.ศิริพรดูแล แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบไปได้

7.นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์  ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ ฐานความผิดที่รับผิดชอบการดำเนินการโครงการไทยเข้มแข็งแต่ปัดความรับผิดชอบที่เกิดขึ้น อ้างว่าทำหน้าที่เพียงการตรวจสอบยอดการจัดซื้อจัดจ้างเท่านั้น

8.นพ.จักรกฤษณ์ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเขต 6 สมัยนั้นดำรงตำแหน่งสาธารณสุขนิเทศก์ ฐานความผิดให้โรงพยาบาลจัดซื้อเครื่องยูวีแฟนราคาแพง

รูปธรรมที่คณะกรรมการชุดนี้ยกมาให้เห็น เริ่มตั้งแต่การขอตั้งงบประมาณทั้งสิ่งก่อสร้าง  ครุภัณฑ์การแพทย์  และรถพยาบาล  มีความผิดพลาดมากมาย  การกระจายตัวไม่ถูกต้อง  ไม่เหมาะสม  และราคาที่ตั้งไว้สูงเกินสมควร  โดยหลายรายการตั้งราคาไว้สูงมาก และมีพฤติกรรมบางประการที่ส่อเจตนาการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ  หากไม่มีการแก้ไขให้ถูกต้อง  แทนที่จะทำให้ไทยเข้มแข็ง  สมเจตนารมณ์  จะกลับทำให้ประเทศชาติอ่อนแอลง  สรุปประเด็นสำคัญดังนี้

1.งบประมาณสิ่งก่อสร้าง  มุ่งเน้นการสร้างความเจริญในตัวจังหวัด  แทนที่จะกระจายสู่อำเภอรอบนอก  ทำให้ช่องว่างของคุณภาพบริการสาธารณสุขระหว่างตัวจังหวัดและอำเภอรอบนอกถ่างกว้างขึ้น  ประชาชนต้องหลั่งไหลเข้าไปรับบริการในตัวจังหวัดมากขึ้น  สร้างทั้ง  ภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และ  เพิ่มความเสี่ยงระหว่างเดินทาง  โดยเฉพาะกรณีป่วยหนัก

2.งบประมาณสิ่งก่อสร้าง  มีความกระจุกตัวในบางจังหวัด  ในลักษณะมือใครยาวสาวได้สาวเอา  เช่น  จังหวัดราชบุรี  ซึ่งมีโรงพยาบาลระดับจังหวัดอยู่แล้วถึง 3 โรง  และยังมีโรงพยาบาลศูนย์อยู่อีก 1 โรง ทั้งที่ส่วนใหญ่  จังหวัดหนึ่งมีโรงพยาบาลระดับจังหวัดเพียงแห่งเดียว  ขณะที่  บางจังหวัดซึ่งขาดแคลนกลับได้รับการจัดสรรน้อย

3.งบประมาณครุภัณฑ์การแพทย์  มีการจัดซื้อสิ่งไม่จำเป็น และ  ราคาแพงจำนวนมาก   นอกจากเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุแล้ว  ยังเป็นภาระในการบำรุงรักษาในอนาคต  ครุภัณฑ์บางอย่าง หน่วยงานมิได้ต้องการหรือขอมา กลับจัดสรรให้โดยส่อเจตนาแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ  นอกจากนั้น  ครุภัณฑ์การแพทย์เหล่านี้ล้วนต้องนำเข้าจากต่างประเทศทั้งสิ้น

4.งบประมาณส่วนใหญ่  มุ่งเน้นที่สิ่งก่อสร้างและครุภัณฑ์การแพทย์  โดยงบประมาณสำหรับการสร้างและพัฒนาบุคลากรไม่ได้สัดส่วน ทำให้สิ่งก่อสร้างและเครื่องมือแพทย์ที่ใช้เงินจำนวนมากจัดซื้อจัดจ้างไว้ ใช้ประโยชน์ได้ไม่คุ้มค่า

ส่วนต้นเหตุของความบกพร่องผิดพลาด  ส่อไปในทางจะทำให้เกิดทุจริต สรุปสาระใหญ่ๆ ได้ 2ประการ ได้แก่

1.ข้าราชการประจำอ่อนแอ  ปลัดกระทรวงและรองปลัดกระทรวงที่ได้รับมอบหมาย         ขาดความรับผิดชอบ  ไม่ให้ความสำคัญกับโครงการนี้เท่าที่ควร  โครงการใหญ่ขนาดนี้  ปลัดกระทรวงควรลงไปดูแลเอง  และควรมีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นดำเนินการ  รวมทั้งควรมีการกำหนดนโยบาย  และหลักเกณฑ์การพิจารณา  ทั้งในเรื่องการกระจายงบประมาณอย่างเหมาะสม  และการพิจารณากำหนดราคาที่สมควร  กลับปล่อยปละละเลย  ให้รองปลัดกระทรวงที่ได้รับมอบหมาย  (รองปลัดฝ่ายบริหาร)  ซึ่งอ่อนประสบการณ์  และมีความรู้ความสามารถไม่พอเพียง 

รวมทั้งไม่เอาใจใส่ต่อหน้าที่เท่าที่ควร  ปล่อยให้เป็นภาระของสำนักบริหารสาธารณสุขภูมิภาค  ซึ่งเป็นเพียงหน่วยงานภายใน  มีผู้ปฏิบัติงานเพียง 53 คน มีแพทย์คนเดียว  รับผิดชอบงานใหญ่ขนาดนี้  ในขณะที่สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์  ซึ่งอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบการกำกับดูแลของรองปลัดกระทรวงฝ่ายบริหาร  มีข้าราชการปฎิบัติงานทั้งสิ้น 283 คน กลับปัดความรับผิดชอบ  อ้างว่ามีหน้าที่เพียงตรวจสอบยอดและหมวดเงินให้ตรงตามที่ได้รับจัดสรรเท่านั้น

การที่ผู้บริหารระดับสูงไม่เป็นผู้รับผิดชอบต่อหน้าที่ด้วยตนเอง  ประกอบกับการไม่มีคณะกรรมการมาร่วมพิจารณา  และไม่มีเกณฑ์วางไว้  งานจึงไม่มีระบบ  ใครจะของบอย่างไรก็ขอ จะเปลี่ยนอย่างไรก็เปลี่ยน  ตามใจของผู้มีอำนาจ  นอกจากแสดงถึงการขาดความรับผิดชอบและขาดความรู้ความสามารถแล้ว  ยังส่อเจตนาไม่สุจริต  เอื้อให้มีการกระทำตามใจชอบ  และเปิดทางให้มีการทุจริตด้วย

2.ในส่วนของฝ่ายข้าราชการการเมือง นายวิทยา  แก้วภราดัย  รมว.สาธารณสุข  ไม่อาจปัดความรับผิดชอบในความบกพร่อง  ส่อเจตนาไม่สุจริต  และการเปิดช่องทางให้มีการแสวงหาผลประโยชน์ทั้งปวงที่เกิดขึ้น   ในกระทรวงสาธารณสุขได้

นายมานิต  นพอมรบดี  รมช.สาธารณสุข  ไม่ได้รับมอบหมายให้ดูแลโครงการไทยเข้มแข็ง  และไม่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข  แต่มีพฤติกรรมก้าวก่าย  ล้วงลูก  กดดัน  ให้มีการจัดสรรงบประมาณเกินจำเป็นลงพื้นที่ของตน  รวมทั้งน่าเชื่อว่าอาจพัวพันเรื่องการฮั้วรถพยาบาลด้วย 

ท้ายสุดคณะกรรมการฯ พิจารณาแล้วมีข้อเสนอ ดังนี้

1.ควรมีการทบทวนการพิจารณาโครงการใหม่ทั้งหมด  ทั้งรายการสิ่งก่อสร้าง  รายการครุภัณฑ์การแพทย์  และรายการรถพยาบาล  ทั้งในส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข  และกรมอื่นๆ โดยเฉพาะกรมการแพทย์  รวมทั้งโครงการพัฒนาบุคลากร  ซึ่งจะต้องได้สัดส่วนเหมาะสมกัน  ทั้งนี้  ควรดำเนินการโดยมุ่งคุณภาพ  เพื่อให้เกิดการสร้างความเข้มแข็งของประเทศอย่างแท้จริง  มิใช่ทำให้ประเทศชาติอ่อนแอลง  และสร้างปัญหาในระยะยาว  โดยปลัดสธ.จะต้องลงมาเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง  มีหลักเกณฑ์และวิธีการอย่างสมเหตุสมผล  โปร่งใส  ใช้บุคลากรกระทรวงสาธารณสุขที่มีคุณภาพซึ่งมีอยู่มากช่วยกันทำ  เชื่อว่าจะใช้เวลาไม่นาน

2.ควรมีการสอบสวนข้าราชการประจำที่เกี่ยวข้อง  ทั้งที่ยังรับราชการและที่เกษียณอายุไปแล้วในกรณีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำที่เข้าข่ายว่าเป็นความผิดที่ได้ทำมา  เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป

3.ควรพิจารณาดำเนินการกับนักการเมืองที่เกี่ยวข้องตาม  “กฎเหล็ก 9 ข้อ”  ของนายกรัฐมนตรี  ที่แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรก  เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2551  โดยเฉพาะในข้อ 2 ที่  “เน้นให้ยึดถือการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างเคร่งครัด”  และข้อ 9       ที่ระบุว่า  “ความรับผิดชอบทางการเมืองนั้นมีมาตรฐานที่สูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย”

ผลการสรุปคนเอี่ยว “เตรียมโกง”ไทยเข้มแข็งถึงมือนายกฯแล้ว หลังจากนี้ต้องจับตาต่อไปว่า จะดำเนินการฟันคนผิดในเรื่องนี้อย่างไร จะส่งเรื่องไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)หรือไม่

ท่าทีของรัฐบาลในการสะสางเรื่องร้อนเตรียมโกงของกระทรวงหมอนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อภาพความซื่อสัตย์ของรัฐบาลชุดนี้ข้ามปีอย่างแน่นอน

 


 

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์ชู 3 แกนพัฒนาคน รับรางวัล HR Leader for Social Impact 2025