นักวิชาการมั่นใจเขื่อนใหญ่ไม่แตก แนะเฝ้าระวังขนาดกลาง-เล็ก
โอกาสประเทศไทยที่เขื่อนขนาดใหญ่ จะเกิดปัญหาเขื่อนแตกเหมือนที่ สปป.ลาวนั้น ส่วนตัวเชื่อว่าไม่เกิดขึ้นแน่นอน
โดย...เอกชัย จั่นทอง
เหตุการณ์เขื่อนแตกที่เขื่อนเซเปียน- เซน้ำน้อย ในแขวงอัตตะปือ ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ได้สร้างผลกระทบเป็นวงกว้างทั้งชีวิตและทรัพย์สิน นับเป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่มิตรประเทศระดมสรรพกำลังเข้าไปช่วยเหลือกู้ภัย กระทั่งนำไปสู่เวทีจุฬาฯ เสวนา ครั้งที่ 15 "เขื่อนแตก เรื่องของลาว กับ เรื่องของเรา" จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในวงเวทีต่างแสดงความเห็นที่น่าสนใจในหลากหลายประเด็น รวมถึงการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในอนาคต
ฐิรวัตร บุญญะฐี ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ เปิดเวทีให้ความเห็นในประเด็นดังกล่าวว่า สำหรับเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย มีทั้งหมด 2 เขื่อนใหญ่ และเขื่อนย่อยหรือเขื่อนปิดช่องเขา 5 เขื่อน ทำหน้าที่ปิดช่องเขาที่น้ำไหลออกซึมออกมา จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทาง สปป.ลาว พยายามเร่งระบายน้ำผ่านสปิลเวย์ เพื่อลดระดับน้ำในเขื่อนลงมา เนื่องจากถ้าน้ำล้นสันเขื่อน นั่นหมายความว่าเป็นอันตรายแล้ว จึงจำเป็นต้องระบายน้ำออก
โดยตัวเขื่อนที่ สปป.ลาวเป็นลักษณะเนื้อเดียว เมื่อน้ำเต็มน้ำจะไหลซึม แต่ถ้าหากปล่อยให้น้ำซึมผ่านนานจะเป็นอันตราย เมื่อดินอุ้มน้ำมากประสิทธิภาพในตัวดินจะลดลง เนื่องจากปกติจะไม่ปล่อยให้ ดินอุ้มน้ำมาก คาดว่าทางวิศวกรผู้ก่อสร้างน่าจะมีการนำดินมาทดสอบก่อนแล้ว เพื่อดูความแข็งแรงพร้อมปรับปรุงให้แข็งแรงจนสามารถนำมาก่อสร้างเขื่อนได้
ฐิรวัตร ยังระบุว่า ลักษณะความ เสียหายจากเขื่อนดินโดยปกติทั่วไปแล้ว จะเกิดเป็นหลุม เป็นรอยฉีก มีการสไลด์ของดินที่หน้าเขื่อน มีสาเหตุหลักเกิดจากการบดอัดไม่ดีทำให้เกิดช่องทางระบายน้ำหรือท่อน้ำที่ผิวตัวเขื่อน ถัดมาปัจจัยจากการรองรับเขื่อนดินไม่แน่น ส่งผลให้เกิดการทรุดตัว ทั้งหมดขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการสร้างเขื่อน
"การสร้างเขื่อนบนชั้นดิน กรวด ทรายสามารถทำได้ และมีราคาถูก เราต้องหาคุณสมบัติวัสดุที่เหมาะสม เขื่อนดินในบ้านเรา เช่น เขื่อนสิริกิติ์ ถือว่าใหญ่สุดในประเทศไทย ถัดมาเขื่อนแก่งกระจาน เขื่อนแม่งัด นอกจากนี้ยังมีเขื่อนหิน เช่น เขื่อนวชิราลงกรณ ฯลฯ"
นักวิชาการคนเดิม เสริมว่า สำหรับเขื่อนแตกที่ สปป.ลาว สร้างเสร็จก่อนกำหนดถึง 5 เดือน ก่อนหน้านี้เขื่อนแห่งนี้เกิดการทรุดตัวหลายจุดต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 20 ก.ค.และ 23 ก.ค. มีการรายงานติดตามกัน ถือว่ารู้สถานการณ์ก่อนแล้ว อีกทั้งทางวิศวกรยังได้แจ้งให้ทางการ สปป.ลาว ทราบและให้เตรียมพร้อมอพยพด้วย
เช่นเดียวกับปัจจัยที่อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดเขื่อนแตก อาจมาจากวัสดุที่ใช้ไม่เหมาะสม กำลังของวัสดุไม่เพียงพอ การบดอัดไม่แน่นทำให้ดินยุบตัวลง รวมถึงการไหลซึมผ่านตัวเขื่อน และกำลังของชั้นดินใต้เขื่อนไม่เพียงพอ ดังนั้นการจัดการความเสี่ยงของเขื่อนแตก ต้องศึกษาประเมินความเสี่ยง วางแผนแจ้งเตือนและแผนปฏิบัติการ อีกทั้งระหว่างก่อสร้างเขื่อนต้องตรวจสอบคุณภาพ ตรวจสอบพฤติกรรมของเขื่อน ทั้งการก่อสร้าง และการกักเก็บน้ำ และการบำรุงรักษาเขื่อน ถ้าอยู่ในประเด็นการบริหารเหล่านี้ เชื่อว่าจะไม่เกิดปัญหาเขื่อนแตก
ผศ.ดร.อนุรักษ์ ศรีอริยวัฒน์ หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ให้ความเห็นว่า สาเหตุการเกิดปัญหาเขื่อนแตก ส่วนใหญ่มาจากปัญหา "น้ำล้นสันเขื่อน" เป็นสาเหตุหลักอันดับ 1 สาเหตุถัดมา คือ เขื่อนทรุดตัว และปัญหาการสไลด์ตัวของชั้นดิน และเหตุผลอื่นๆ
ส่วนเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย สามารถกักเก็บน้ำได้ 1,000 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ส่วนตัวเลขมวลน้ำ 5,000 ล้าน ลบ.ม. ที่มีการเสนอข่าวกันว่าทะลักออกมา คาดว่าไม่น่าจะใช่ตัวเลขดังกล่าว เชื่อว่าน่าจะเป็นตัวเลข 500 ล้าน ลบ.ม. ส่วนเขื่อนในประเทศไทยเชื่อว่าทุกหน่วยงานคงรีบไปตรวจสอบสภาพเขื่อนทุกแห่งแล้ว
"ส่วนโอกาสประเทศไทยที่เขื่อนขนาดใหญ่ เช่น เขื่อนศรีนครินทร์ จะเกิดปัญหาเขื่อนแตกเหมือนที่ สปป.ลาวนั้น ส่วนตัวเชื่อว่าไม่เกิดขึ้นแน่นอน แต่กลับห่วงสถานการณ์ของเขื่อนขนาดกลางที่มีจำนวน 800 เขื่อน ซึ่งมีการแจ้งปัญหารั่วซึมมาก รวมถึงการดูแลยังไม่ทั่วถึง บำรุงรักษาน้อย เพราะทุกฝ่ายไปดูแลแต่เฉพาะเขื่อนใหญ่เท่านั้น" หัวหน้าภาควิชาวิศวะตั้งข้อกังวล
ขณะเดียวกัน ข้อห่วงใยอีกส่วน คือ เขื่อนขนาดเล็กที่มีอยู่จำนวน 8,000 เขื่อนทั่วประเทศ ตอนนี้ถูกโอนจากกรมชลประทานไปให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดูแลแทน เกิดคำถามว่าแล้วการจัดการจะทำอย่างไร มีความสามารถในการดูแลได้หรือไม่ แม้ว่าหากเกิดปัญหาขึ้นมาความเสียหายอาจไม่รุนแรง แต่ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน หน่วยงานรัฐควรมีการเข้าไปศึกษา หาข้อมูลต่างๆ เราควรมีข้อมูลเกี่ยวกับเขื่อนในระยะยาว และกระจายข้อมูลนี้ไปสู่สาธารณะ
รศ.ดร.กุลยศ อุดมวงศ์เสรี ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาฯ เปิดเผยข้อมูลการนำเข้าไฟฟ้าจากต่างประเทศว่า ประเทศไทยนำเข้าไฟฟ้าจาก สปป.ลาว 8% หรือประมาณ 3,578 เมกะวัตต์ ถือว่าพึ่งพา สปป.ลาวไม่มาก ปัจจุบันประเทศไทยพึ่งพาพลังงานก๊าซมากกว่า 28,402 เมกะวัตต์ จากประเทศเพื่อนบ้าน
"ในปี 2560 สปป.ลาวมีรายได้จากการขายไฟฟ้าให้ไทย แยกเป็นพลังงานน้ำ 23,280 ล้านบาท และพลังงานถ่านหิน 17,300 ล้านบาท ส่วนข้อกังวลเรื่องความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทยนั้นไม่น่าเป็นห่วง เนื่องจากมีไฟฟ้ากำลังสำรองกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ไม่ประมาท"
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากปัญหาเขื่อนแตกของ สปป.ลาวครั้งนี้ถือว่าน้อยมาก เพียงแต่อาจกระทบกับต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่ายเพิ่มอย่างค่าเอฟทีเนื่องจากต้องซื้อไฟแพงช่วงระยะสั้น


