ปล่อยผี"อบจ." แลกหนุนพรรค คสช.
การคืนตำแหน่งให้ 4 นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กำลังถูกจับตาเป็นพิเศษถึงเบื้องหน้าเบื้องหลัง
การคืนตำแหน่งให้ 4 นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กำลังถูกจับตาเป็นพิเศษถึงเบื้องหน้าเบื้องหลัง
********************************
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
การปล่อยผีคืนตำแหน่งให้ 4 นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 6/2561 เรื่องการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 19/2558 ว่าด้วยเรื่องการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐดำรงตำแหน่งและปฏิบัติหน้าที่อื่น คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 43/2559 เรื่องประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างถูกตรวจสอบ กำลังถูกจับตาเป็นพิเศษถึงเบื้องหน้าเบื้องหลัง
ยิ่งหากพิจารณารายชื่อของทั้ง 4 คน ได้แก่ 1.สถิรพร นาคสุข นายก อบจ.ยโสธร 2.มลัยรัก ทองผา นายก อบจ.มุกดาหาร 3.บุญเลิศ บูรณุปกรณ์ นายก อบจ.เชียงใหม่ 4.ชัยมงคล ไชยรบ นายก อบจ.สกลนคร ยิ่งจะพบถึงความเชื่อมโยงและเป้าหมายที่คาดว่าจะนำไปสู่การเร่งทำพื้นที่โกยคะแนนให้กับพรรค คสช.ในช่วงที่ปี่กลองการเมืองกำลังเริ่มต้นโหมโรง
สอดรับไปกับกระแสดูดก่อนหน้านี้ที่มีความพยายามดึงตัวอดีต สส.จากพรรคต่างๆ ไปเสริมทีมพรรค คสช. จนพรรคการเมืองต้องรีบออกมาดักคอสกัดพฤติกรรม “ตกปลาในบ่อเพื่อน” ที่นอกจากจะทำให้การเมืองย้อนกลับสู่วังวนเหมือนเช่นในอดีตแล้ว อีกด้านหนึ่งยังสวนทางกับแนวทางปฏิรูปที่รัฐบาล คสช.กำลังเดินหน้า
ทว่าปัญหาอยู่ที่หลายพรรคการเมืองเวลานั้นเริ่มไล่เช็กยอดหาทางสกัดปัญหาถูกดูดจนทำให้ปฏิบัติการดูดเงียบหายไป ท่ามกลางความเป็นห่วงในสถานการณ์ที่อาจทำให้เป้าหมายสู่การผลักดัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยต้องสะดุดหยุดลงไป
ยังไม่รวมกับการเปิดตัวของพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ที่อาจจะทำให้คะแนนเสียงของพรรคพลังประชารัฐแว่วว่าจะลดน้อยถอยลงไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
แผนสำรองจึงต้องเบี่ยงเป้ามายังสนามการเมืองท้องถิ่น อันจะเป็นฐานที่มั่นในพื้นที่สำหรับทำการเมืองของพรรค คสช.ในอนาคต และสามารถต่อกรกับพรรคใหญ่ที่มีระบบหัวคะแนนในพื้นที่เหนียวแน่น
หากไล่ดูจากทั้ง 4 คน เป้าใหญ่ที่สังคมจับตาคือ บุญเลิศ ซึ่งถูกพักงานตั้งแต่ ก.ค. 2559 เพราะคาดว่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับจดหมายบิดเบือนร่างรัฐธรรมนูญช่วงการทำประชามติ ผ่านมาเกือบ 2 ปี ถึงได้กลับมาทำหน้าที่ โดยเจ้าตัวยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่มีประเด็นทางการเมืองมาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด การกลับมาครั้งนี้มาแบบไม่มีเงื่อนไขอย่างแท้จริง โดยตนเองยังไม่เคยไปพบกับนายกรัฐมนตรีแม้แต่ครั้งเดียว
ทว่า หลังทิศทางลมเปลี่ยน แว่วว่าตระกูล “บูรณุปกรณ์” เริ่มจะไม่แนบแน่นกับทางฝั่ง “ชินวัตร” เหมือนที่เคยเป็นมา ท่ามกลางข่าวคราวการทาบทามคนในตระกูลบูรณุปกรณ์ไปลงสมัครในนามพรรค คสช.เป็นที่เรียบร้อย รอแค่การเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
เช่นเดียวกับ “มุกดาหาร” ที่มีข่าวว่า วีระพงษ์ ทองผา พี่ชายสามี ของ มลัยรัก ทองผา ได้รั้งตำแหน่งผู้สมัคร มุกดาหาร ในนามพรรค คสช.เป็นที่เรียบร้อย รวมทั้ง “ยโสธร” ที่ว่ากันจะได้แรงสนับสนุนสำคัญจาก สถิรพร ผ่านการประสานจาก สุชาติ ตันเจริญ แห่งบ้านริมน้ำ
แม้ทาง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ออกมาชี้แจงว่า คำสั่งดังกล่าวไม่ได้มีนัยทางการเมือง เรื่องนี้สืบเนื่องจากการตรวจสอบของกระทรวงยุติธรรม และส่งผลตรวจสอบมาให้ ศอตช.และ คสช.จึงมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ จากนั้นได้สืบสวนสอบสวนเพิ่มเติมให้ดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งผู้บริหารท้องถิ่นมีทั้งผู้ที่ให้ถูกออกและให้พ้นจากหน้าที่ ส่วนใครที่ไม่พ้นจากตำแหน่งก็ให้กลับมาปฏิบัติหน้าที่คืน
“ดูจากข้อเท็จจริงและเนื้อผ้าเป็นหลัก ผิดก็คือผิด โดยมี ป.ป.ช.-สตง. เป็นต้นเรื่องในการตรวจสอบ และกระทรวงมหาดไทยมาสืบสวนสอบสวนอีกครั้ง ซึ่งเราสืบสวนสอบสวนไปตามหน้าที่ ใครผิดก็ดำเนินการตามกฎหมาย ใครไม่ผิดก็ให้กลับไปปฏิบัติหน้าที่เช่นเดิม แต่ก็ยังมีอีกจำนวนมากและในจำนวนนี้ก็มีหลายคนที่มีความผิด” พล.อ.อนุพงษ์ ระบุ
ที่สำคัญคือการพิจารณาคืนตำแหน่งในล็อต 2 ต่อจากนี้ ซึ่งทาง พล.อ.อนุพงษ์ ระบุว่า ไม่ทราบว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร บอกเพียงแค่เป็นไปตามกระบวนการนั้น ถูกมองว่าเหมือนเป็นแรงบีบให้ นายก อบจ.ที่ถูกพักงาน ต้องยอมหันมาสนับสนุนพรรค คสช.ในอนาคตเพื่อแลกกับการคืนตำแหน่งให้กลับมาทำหน้าที่ต่อไป
หากพิจารณาจากคำชี้แจง วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่า ตัวเลขเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกพักงานทั้งหมดมีประมาณ 300 คน โดยคืนตำแหน่งไปแล้วหลายสิบคน ย่อมเหลืออีกกว่า 200 ตำแหน่งที่ยังถูกพักงานอยู่ในหลายพื้นที่ กำลังส่วนนี้ยิ่งต้องถูกจับตาเป็นพิเศษ
ที่สำคัญเวลานี้เริ่มมีสัญญาณเรื่องการเลือกตั้งท้องถิ่นที่ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะสูตรที่จะเลือกตั้งท้องถิ่นทั้งหมด หรือเลือกบางพื้นที่ที่คาดว่าจะไม่มีปัญหา ก่อนเลือกตั้งใหญ่ จะเป็นแรงบีบ และดัชนีชี้วัดถึงทิศทางทางการเมืองและผลการเลือกตั้งในสนามใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง
ยิ่งอำนาจชี้ขาดทั้งหมดอยู่ในมือ คสช.ที่จะเป็นผู้ชี้ขาด ทั้งเรื่องกรอบเวลาเลือกตั้ง รวมทั้งพื้นที่เลือกตั้ง นั่นย่อมเป็นข้อได้เปรียบของ คสช. ที่จะไปชักจูงหรือต่อรองกับท้องถิ่นให้เข้ามาสนับสนุนพรรค คสช.ได้ง่ายขึ้น