posttoday

เศรษฐกิจไทยช้ำต้มยำกุ้งรอบสอง?

15 ตุลาคม 2553

แม้รัฐบาลจะโปรยยาหอมว่าเศรษฐกิจไทยกำลังจะไปโลด อัตราขยายตัวปีนี้ 8%

แม้รัฐบาลจะโปรยยาหอมว่าเศรษฐกิจไทยกำลังจะไปโลด อัตราขยายตัวปีนี้ 8%

โดย...ทีมข่าวการเงิน

แม้รัฐบาลจะโปรยยาหอมว่าเศรษฐกิจไทยกำลังจะไปโลด อัตราขยายตัวปีนี้ 8% แต่ลึกๆ หลายฝ่ายยังกังวลว่าแท้จริงแล้วคือ ภาพลวงตา หรือ ฟองสบู่ จากเงินร้อนที่ไหลบ่าเข้ามาหรือไม่
เงินทุนที่ไหลเข้าท่วมเศรษฐกิจไทย แม้จะทำให้การลงทุนและการจับจ่ายใช้สอยดี แต่กลับไม่ได้กระจายไปทุกสาขา

 

เศรษฐกิจไทยช้ำต้มยำกุ้งรอบสอง?

เมื่อค่าเงินบาทที่แข็งตัวกว่า 10% กระเทือนต่ออุตสาหกรรมส่งออก ซึ่งเป็นหัวรถจักรสำคัญของประเทศอย่างรุนแรงที่สุดอีกครั้งในประวัติศาสตร์

กระทั่งสภาอุตสาหกรรมภาคกลาง ซึ่งมีสมาชิก 8,000 โรงงาน ต้องออกมาเตือนว่าอาจ “ปลดคนงาน” ช่วงปลายปีนี้ เพราะส่งออกไม่ไหว

แม้แต่เสี่ยบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ยังทนไม่ไหวต้องกระทุ้งรัฐบาลว่า คนระดับบนได้ประโยชน์จากค่าบาทแข็ง แต่คนระดับล่างและเกษตรกรเจ๊กอั๊ก

พร้อมสำทับด้วยว่า เครือสหพัฒน์จะปิดโรงงานบางแห่งในต่างจังหวัด เพราะทนพิษค่าเงินบาทไม่ไหว

ถ้าบรรยากาศเช่นนี้ลุกลามออกไป ทำให้หลายคนอดคิดไปถึง “วิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540” ที่บริษัทห้างร้านเจ๊ง ปลดคนงานนับล้านคน หลังรัฐบาลลอยตัวค่าเงินบาท และเกิดภาวะฟองสบู่ ภาคอสังหาริมทรัพย์แตกดังโพละ

จักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ประธานกรรมการธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย มองว่า ถ้าให้ประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในขณะนี้อยู่ในทิศทางการฟื้นตัวแล้ว ฉะนั้นถ้าไม่มีสถานการณ์พิเศษ ไม่ว่าสถานการณ์ที่ว่าจะมาจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจสหรัฐ หรือปัญหาการเมืองภายในประเทศรุนแรง ก็เชื่อว่าไทยไม่น่าจะมีโอกาสเกิดวิกฤตเศรษฐกิจรอบ 2

จักรมณฑ์ ระบุว่า ถ้าดูปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐ ขณะนี้ที่ส่งผลกระทบถึงเศรษฐกิจไทยนั้นก็ไม่ได้รุนแรงถึงขั้นต้องล้มฟุบได้

“ปัจจัยจากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยในช่วงนี้ ถือว่าไม่ได้มีปัญหาหนักหนาเกินแก้ไข ไม่น่าจะมีโอกาสเกิดวิกฤตเศรษฐกิจรอบ 2 ได้” ประธานซีไอเอ็มบี ไทย กล่าว

อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อมูลที่ต้องพิจารณาอีก เพราะขณะที่ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น แต่ภาคการส่งออกยังสามารถเติบโตได้ และถ้าย้อนไปดูสาเหตุจากเงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่า ประเทศไทยคงไปจัดการอะไรไม่ได้ เพราะเป็นปัญหาภายนอก และต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะพื้นฐานเศรษฐกิจไทยดี

ขณะเดียวกันก็ต้องมาพิจารณาเรื่องการบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนด้วยว่า ทำได้ดี ทำได้เหมาะสม ทันสถานการณ์หรือไม่ ซึ่งเท่าที่ดูก็ถือว่าดูแลได้พอสมควร ทั้งรัฐบาล กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็มีมาตรการมาดูแลได้บ้าง

แต่ถ้ามองถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาจักรมณฑ์ไม่เห็นด้วยถ้าจะนำเอามาตรการระยะยาวมาทำในระยะสั้น เพราะมันจะเกิดผลไม่ทันสถานการณ์ และอาจกลายเป็นปัญหาในอนาคตได้

“ถ้าบอกว่ามีเงินทุนไหลเข้ามาก ต้องลดดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 0% อันนี้ไม่เห็นด้วยแน่นอน เพราะอนาคตเราจะมีปัญหาเงินเฟ้อสูง แต่ถ้าชะลอไว้ไม่ขึ้นก็ดี ส่วนมาตรการเก็บภาษีเงินทุนต่างชาติที่ลงทุนพันธบัตร 15% ก็ถือว่าได้ผลระดับหนึ่ง” จักรมณฑ์ ระบุ

หลังจากนี้คิดว่าหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบประเมินความเห็นจากหลายๆ ฝ่าย ฟังคนที่ได้รับผลกระทบ คนได้ประโยชน์ แล้วพิจารณาตัดสินบนพื้นฐานของประโยชน์ประเทศ ค่อยๆ แก้ไข ส่งออก เงินบาทแข็งค่า ก็แก้ปัญหาไปทีละจุด อย่างผู้ส่งออกรายใหญ่อาจจะดูแลตัวเองได้ รายย่อยแย่ การแก้ปัญหาก็อาจจะมุ่งรายย่อย เดินไปแบบนี้ภาวะเศรษฐกิจน่าจะยังไปต่อในระดับที่ดีได้

จักรมณฑ์ กล่าวว่า การแก้ปัญหาเศรษฐกิจในเชิงเศรษฐศาสตร์ในปัจจุบันไม่สามารถทำได้ตรงตามตำราหรือทฤษฎีทั้งหมด เพราะขณะนี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป พฤติกรรมประชาชนเปลี่ยนได้ตลอดเวลา และมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายอย่าง ฉะนั้นการพิจารณาแก้ไขควรดูให้เหมาะสมกับสถานการณ์และทันท่วงทีน่าจะเหมาะสมกว่า เพราะในแง่อื่น เช่น เงินเฟ้อ ก็ไม่มีปัญหา การว่างงานก็ต่ำ หลายอุตสาหกรรมขาดแคลนแรงงานด้วยซ้ำไป การใช้กำลังการผลิตก็อยู่ในระดับดี ตัวเลขการส่งออกก็ดี มองภาพรวมแล้วถือว่าพื้นฐานเศรษฐกิจไทยปรับดีขึ้นพอสมควร การมีอัตราการเติบโตในระดับ 7.5% ถือว่าดี สอดคล้องพื้นฐานเศรษฐกิจ

ด้าน เชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า โอกาสจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจรอบ 2 มีน้อยมาก เพราะขนาดเกิดปัญหาการเมืองรุนแรงช่วงที่ผ่านมายังสามารถผ่านมาได้ หรือปีนี้เศรษฐกิจสหรัฐมีปัญหาถดถอย กำลังซื้อลดลง กระทบการส่งออกของไทย แต่ภาคการส่งออกก็สามารถปรับตัวเติบโตได้ เพราะปัญหาภายในด้านอื่นๆ มีไม่มาก

ทั้งนี้ ถ้าดูจากปัจจัยของเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเพิ่มปริมาณเงินมากขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่า ขณะที่ค่าเงินสกุลเอเชียและค่าเงินบาทแข็งขึ้น รวมทั้งภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจยุโรปนั้น ทำให้ไทยมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจใน 2 ด้าน คือ

1.ทำให้กำลังซื้อของประเทศผู้บริโภคที่ไทยจะส่งออกสินค้าแย่ลง เพราะถ้าดูจากประมาณการณ์เศรษฐกิจที่คาดว่าสหรัฐน่าจะโตที่ 2.62.7% ในปี 2554 แต่ถ้าสหรัฐเจอภาวะเศรษฐกิจถดถอย อาจจะโตที่ 2% ส่วนยุโรปอาจจะโตที่ 1% ซึ่งถ้าโตต่ำกว่าที่คาด ส่งออกก็มีโอกาสขยายตัวลดลง

2.การเผชิญภาวะเงินแข็งค่า ซึ่งถ้าดูจากต้นปีมาถึงปัจจุบัน เงินบาทแข็งค่าขึ้น 12% แล้ว สูงกว่าประเทศในภูมิภาค เพราะฟิลิปปินส์แข็งค่าขึ้น 7.3% อินโดนีเซีย 6% สิงคโปร์ 8% มาเลเซีย 11% ซึ่งทำให้ส่งออกเสียเปรียบ ส่วนจีนและเวียดนามที่ค่าเงินหยวนและด่องอ่อนค่าลง ไม่ต้องพูดถึงส่งออกไทยแข่งไม่ได้เลย ซึ่งปัญหาเหล่านี้ทางการก็ทยอยออกมาตรการมาดูแลบ้างแล้ว ซึ่งต้องอาศัยเวลาพอสมควร

“แต่ถ้าดูปัญหาเหล่านี้แล้วยังมองว่าเศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้ 7% ในปีนี้ และปีหน้าน่าจะโต 4% แต่ถ้าเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐอีกรอบ ปีหน้าก็ยังน่าจะโตได้ 23% แต่โอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็มีน้อย เพราะทางการสหรัฐมีการแก้ไขและกระตุ้นอยู่ เพราะฉะนั้นยังมองว่าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสเกิดวิกฤตรอบ 2 น้อยมาก อย่างไรก็ตามคาดว่าปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะชะลอลงจากปีนี้ และกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง” เชาว์ กล่าว

อรนุช อภิศักดิ์ศิริกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกก็จริง แต่ต้องดูไส้ในด้วยว่าใครบ้างที่เป็นผู้ส่งออก หากตัดมูลค่าส่งออกที่มาจากบริษัทขนาดใหญ่ออกไปแล้ว เหลือผู้ประกอบการส่งออกที่เป็นเอสเอ็มอี มีใครบ้างที่เดือดร้อนจากค่าเงินบาทแข็งค่า อยากให้รัฐบาลเข้าไปช่วยเหลือกลุ่มนี้มากกว่า แล้วปล่อยให้ค่าเงินบาทแข็งค่า เป็นประโยชน์กับเศรษฐกิจโดยรวมและคนในประเทศส่วนใหญ่จะนำเข้าสินค้าได้ถูกลง

“ค่าเงินบาทเคย 50 บาทต่อเหรียญสหรัฐมาแล้ว จนถึงตอนนี้ 30 บาท เราอยู่ได้ แล้วทำไมพอจะหลุดไป 28 บาท ถึงคิดว่าจะอยู่ไม่ได้ ขอเพียงทางการดูแลค่าเงินให้แข็งค่าแบบค่อยเป็นค่อยไป พอให้ภาคธุรกิจปรับตัวได้ รู้ว่าตัวเองต้องปิดความเสี่ยงเท่าไหร่ ซึ่งที่ผ่านมาผู้ส่งออกไทยเก่งมาก จากที่เคยส่งไปสหรัฐ ยุโรป รวมกันกว่า 60% ตอนนี้ปรับไปหาตลาดใหม่ๆ มากขึ้น ส่งไปสหรัฐ ยุโรป ลดเหลือเพียง 20% เท่านั้น” อรนุช กล่าว

ส่วน สุทัศน์ เรืองมานะมงคล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทิสโก้ ไม่เชื่อว่าแต่ละประเทศจะออกมาตรการดูแลค่าเงินกันจนเกิดเป็นสงครามอัตราแลกเปลี่ยน เพราะการคุมค่าเงินไม่ง่ายเหมือนในอดีต
“ที่แต่ละประเทศกำลังพยายามทำ มองเป็นเรื่องการเมืองมากกว่า คุณรับกระแสโลกาภิวัตน์มาแล้ว จะมาปิดกั้นทำได้ไม่ง่าย โดยเฉพาะสหรัฐที่กำลังกดดันจีนให้หยวนแข็งค่า ถามว่าถ้าสหรัฐตอบโต้โดยไม่ซื้อสินค้าจากจีน แล้วสินค้าตัวนั้นก็ผลิตเองไม่ได้ ต้องไปสั่งซื้อจากประเทศอื่นๆ ที่ค่าแรงถูกกว่าอยู่ดี เพราะก่อนหน้านี้สหรัฐย้ายฐานการผลิตไปประเทศที่ค่าแรงต่ำ จนในประเทศเหลือแต่อุตสาหกรรมการบริการเท่านั้น” สุทัศน์ กล่าว

บทสรุปของสถานการณ์ค่าเงินบาทจะเป็นอย่างไร จะกลายเป็น “วิกฤตการณ์” เหมือนปี 2540 หรือไม่ คงต้องลุ้นกันภายในเดือนนี้

แต่ที่แน่ๆ ความเห็นของนักธุรกิจยังมั่นใจว่าประเทศไทย “ไม่มีทาง” จะเกิดวิกฤตรอบ 2 แน่นอนa

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์-FWD คว้า 3 รางวัล Adman Awards 2025 ตอกย้ำเข้าถึงลูกค้าทุก Gen ด้วย "ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย"