รื้อตลาดเพาะเชื้อโรค แหล่ง "หนูใหญ่กว่าแมว"
ตลาดหลายแห่งไม่มีการแบ่งโซน หรือจัดโซนนิ่งการค้าขายแบบแยกประเภท ซึ่งผิดสุขลักษณะ เพราะพื้นที่ขายของสดจะมีความสกปรกเฉอะแฉะ
ตลาดหลายแห่งไม่มีการแบ่งโซน หรือจัดโซนนิ่งการค้าขายแบบแยกประเภท ซึ่งผิดสุขลักษณะ เพราะพื้นที่ขายของสดจะมีความสกปรกเฉอะแฉะ
***********************
โดย...กันติพิชญ์ ใจบุญ
ผลสำรวจ “ตลาด” ที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ก็ทำให้เห็นภาพว่าในเมืองฟ้าอมร ยังคงมี “ตลาดเถื่อน” มีอยู่กว่า 300 แห่ง และแน่นอนว่าคำว่าเถื่อน ก็คงไม่ใช่สิ่งที่ถูกกฎหมาย
และผลพวงจาก “ป้าทุบรถ” ที่หาญกล้ามาจอดหน้าบ้านแล้วเจ้าตัวลงไปจับจ่ายใช้สอยซื้อของในตลาดสดที่อยู่บริเวณใกล้เคียงจนเป็นข่าวที่ครึกโครม ก็นำไปสู่การสังคายนาตลาดครั้งใหญ่ของเมืองไทย
ทำให้สังคมได้เห็นภาพว่าตลาดที่ถูกต้อง ควรจะมีหน้าตาอย่างไร
หากว่ากันตาม พ.ร.บ.สาธารณสุข พ.ศ. 2535 มีข้อบัญญัติที่กำหนดเกี่ยวกับการค้าขาย ตลาดสด ตลาดนัด ตลาดเปิดท้ายเอาไว้อย่างครอบคลุม เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายที่ต้องปฏิบัติเป็นมาตรฐานเดียวกัน
โดยเฉพาะกับอาหาร ที่กฎหมายสาธารณสุขกำกับไว้อย่างชัดเจนว่า ตลาดที่ขายอาหารสดหรือสินค้าอย่างอื่นก็ตาม หรือขายชั่วคราวหรือประจำ ก็ต้องขออนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นก่อนดำเนินการ เนื่องจากอาหารดิบ อาหารสด อาหารแห้ง อาหารปรุงสำเร็จ มีความเสี่ยงในเรื่องความสะอาด การปนเปื้อนของเชื้อโรคมาก
อีกทั้งเศษอาหาร ขยะภายในตลาดก็จะมากเป็นเงาตามตัว ระบบสุขาภิบาลจำเป็นจะต้องดี เพื่อความปลอดภัยในสุขภาวะทั้งของผู้คนและสภาพแวดล้อมใกล้เคียง
แต่เม็ดเงินและความยุ่งยากของการติดต่อเพื่อขออนุญาต อีกทั้งการปล่อยปละละเลยของเจ้าหน้าที่ ก็ทำให้ตลาดเถื่อนเกิดขึ้นอย่างมากมายในแทบจะทุกพื้นที่
แต่เมื่อมีตลาดที่สร้างผลกระทบ ประชาชนก็มีสิทธิจะไม่เลือกซื้อสินค้าจากตลาดนั้นๆ และยังมีสิทธิร้องเรียนไปยังหน่วยงานราชการท้องถิ่น เพื่อให้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบได้ หากผิดต้องปรับปรุงแก้ไข แต่หากปล่อยไว้เจ้าของตลาดจะต้องโดนโทษจำคุก 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท รวมถึงหากฝ่าฝืนคำสั่งก็จะถูกปรับอีกวันละ 5,000 บาท ตลอดเวลาที่ฝ่าฝืน
ตลาดข้างบ้านป้าทุบรถที่เปิดมานานนับปี และป้าคนดังกล่าวก็ร้องเรียนไปยังท้องถิ่นซึ่งก็คือ กทม. แต่ก็ยังเพิกเฉย กระทั่งเป็นข่าวใหญ่โตจึงนำไปสู่การสั่งรื้อถอนตลาด
นั่นย่อมแสดงได้ว่า กฎหมายสาธารณสุขฉบับนี้อาจไม่มีความเข้มแข็งหรือศักดิ์สิทธิ์มากพอจริงหรือไม่
นอกจากนี้ ยังพบว่าตลาดหลายแห่งไม่มีการแบ่งโซน หรือจัดโซนนิ่งการค้าขายแบบแยกประเภท เราจะเห็นภาพของการขายอาหารปรุงสำเร็จ ติดกับแผงค้าวัตถุดิบ หรืออาหารสดมากมาย ซึ่งมันผิดสุขลักษณะ เพราะพื้นที่ขายของสดจะมีความสกปรกเฉอะแฉะ เป็นการขาดความเป็นระเบียบในการจัดการ ซึ่งการแบ่งแยกโซนขายของเราพยายามผลักดันตรงนี้อย่างมาก แต่อำนาจการอนุญาตอยู่ที่ท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบ และสิทธิของผู้บริโภคที่อาจจะยังไม่ทราบว่าตลาดที่ดีต้องเป็นอย่างไร ร้องเรียนได้อย่างไรบ้าง จึงทำให้เกิดปัญหาการจัดการที่ถูกต้อง
นพ.ดนัย ให้ภาพอีกว่า ผู้จัดการหรือผู้ก่อตั้งกิจการตลาดก็ต้องทราบเงื่อนไขการจัดค้าขายให้เป็นระเบียบ ซึ่งข้อมูลต่างๆ มีอยู่ให้สืบค้นได้อย่างไม่ยาก เพราะจะระบุว่าสิ่งใดทำได้และทำสิ่งใดไม่ได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็จะเปิดค้าขายกันอย่างเดียวไม่ได้สนใจระบบการจัดการ
“สิ่งสำคัญคือระบบการจัดการของเสีย ซึ่งจะต้องมีการจัดเก็บ แยกสัดส่วน นำออกจากพื้นที่อย่างถูกต้องทุกๆ วัน เพราะของพวกนี้ไม่ควรตกค้างอยู่ในพื้นที่ ไม่เช่นนั้นจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรค และเป็นแหล่งที่สัตว์นำโรคต่างๆ ทั้งสัตว์กัดแทะ หนู แมลงสาบ เข้ามากินของที่ตกค้าง สังเกตได้เลยหากเราไปเดินตลาดแล้วเห็นหนูวิ่งไปมาตัวใหญ่กว่าแมว ก็เพราะมันอุดมไปด้วยอาหารตกค้างที่เป็นอาหารของสัตว์เหล่านี้” รองอธิบดีกรมอนามัย ให้ภาพ
แต่สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหานั้น รองอธิบดีกรมอนามัยผู้นี้ อธิบายว่า ตลาดทั้งหมดจะเกิดขึ้นมาได้นั้น “ต้อง” ได้รับการอนุมัติจากท้องถิ่น และประชาชนจะต้องรู้สิทธิของตัวเองและมองให้ออกว่าตลาดแบบไหนที่ควรจะซื้อหาของกินของใช้ อีกทั้งหากเห็นว่ามีการจัดการไม่เหมาะสม สกปรกก็ต้องแจ้งท้องถิ่นเพื่อให้เข้าไปจัดการทันที
“บางตลาดที่มีมาตรฐาน ผู้ซื้อจะรับรู้ได้เองผ่านความรู้สึกว่าของมันน่าซื้อ ดูสะอาด แม้จะแพงกว่าตลาดอื่นหน่อยแต่มีการจัดการที่ดี ก็อยู่ที่ผู้บริโภคจะเลือกซื้อเลือกหา แต่หากเห็นว่าสกปรกก็ต้องแจ้งท้องถิ่นเพื่อให้เข้าไปจัดการ เพราะถือเป็นความรับผิดชอบโดยตรง” นพ.ดนัย กล่าวทิ้งท้าย


