posttoday

หาทางออก หมอกฝุ่นละอองพิษพีเอ็ม 2.5

10 มีนาคม 2561

ในระยะเวลา 2-3 เดือนที่ผ่านมา ในกรุงเทพฯ เกิดปรากฏการณ์ฟ้าหลัว หรือหมอกแดดอย่างต่อเนื่อง

 โดย พรเทพ เฮง

 ในระยะเวลา 2-3 เดือนที่ผ่านมา ในกรุงเทพฯ เกิดปรากฏการณ์ฟ้าหลัว หรือหมอกแดดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นลักษณะของอากาศที่ประกอบด้วยอนุภาคขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เช่น ฝุ่นละออง ควันจากไฟป่า ฝุ่นละอองจากยวดยานพาหนะในเมืองใหญ่ หรือไอเกลือจากทะเลจำนวนมากล่องลอยอยู่ทั่วไป ทำให้มองเห็นอากาศเป็นฝ้าขาว ในบรรยากาศที่มีฟ้าหลัวเกิดขึ้นจะทำให้ทัศนวิสัยลดลง ซึ่งในช่วงฤดูร้อนจะเกิดสภาพอากาศแบบนี้ได้บ่อย

 หมอกควันฝุ่นละอองมลพิษได้ครอบคลุมเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จนต้องมีการเตือนประชาชนว่าค่ามลพิษในอากาศอยู่ในระดับสีเหลือง เนื่องจากอากาศที่เย็นลงทำให้สภาพอากาศปิด โดยพบว่าปริมาณฝุ่นละออง PM 2.5 ตรวจวัดได้ระหว่าง 69-94 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร เกินเกณฑ์มาตรฐานที่ต้องไม่เกิน 50 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร

 มีอะไรในอากาศที่คนหายใจอยู่ทุกวัน มลพิษในอากาศยากแก่การมองเห็น ข้อมูลจากสถาบันเพื่อสุขภาพและการศึกษา มหาวิทยาลัยวอชิงตัน และธนาคารโลก (Institute for Health and Education, Washington University and World Bank) เปิดเผยว่า มลพิษทางอากาศเป็นสาเหตุเสียชีวิตก่อนวัยอันควรในประเทศไทยราว 5 หมื่นคน

 พีเอ็ม 2.5 (PM 2.5) ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดในสมอง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหัวใจขาดเลือด โรคระบบทางเดินหายใจ และโรคมะเร็ง

 ฝุ่นพิษพีเอ็ม 2.5 หรือฝุ่นที่มีขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หนึ่งในตัวร้ายของมลพิษทางอากาศ ซึ่งได้กลายเป็น “ฆาตกรล่องหน” ด้วยขนาดเล็กกว่าเม็ดเลือดแดง ทำให้สามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจของผู้คน และผ่านต่อไปยังอวัยวะต่างๆ ในร่างกายโดยกระแสเลือดเป็นตัวนำพาความเสี่ยงให้เกิดโรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

 สำหรับค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 10 ไมครอน และไม่เกิน 2.5 ไมครอน หากมีค่าเกินมาตรฐานย่อมส่งผลกระทบต่อร่างกาย เนื่องจากเป็นฝุ่นละอองที่สามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจของมนุษย์ได้

หาทางออก หมอกฝุ่นละอองพิษพีเอ็ม 2.5

 เมื่อเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจจะเกาะตัว หรือตกตัวได้ในส่วนต่างๆ ของระบบทางเดินหายใจ ก่อให้เกิดการระคายเคืองและทำลายเนื้อเยื่อของอวัยวะนั้นๆ เช่น เนื้อเยื่อปอด ซึ่งหากได้รับในปริมาณมากหรือในช่วงเวลานาน จะสามารถสะสมในเนื้อเยื่อปอด เกิดเป็นพังผืดหรือแผลขึ้นได้ และทำให้การทำงานของปอดเสื่อมประสิทธิภาพลง ทำให้หลอดลมอักเสบ เกิดหอบหืดถุงลมโป่งพอง และโอกาสเกิดโรคระบบทางเดินหายใจเนื่องจากติดเชื้อเพิ่มขึ้นได้

กรุงเทพฯ วิกฤตหมอกควันฝุ่นละอองมลพิษ

 การจัดลําดับเมืองที่มีปัญหามลพิษทางอากาศ ปี 2559 ของกรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่าจากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศที่ตรวจวัดฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) 19 แห่ง ในปี 2559 มี 10 พื้นที่ที่มีความเข้มข้นของฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) เกินค่ามาตรฐานในบรรยากาศทั่วไปในเวลา 1 ปี (25 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร) ตามข้อกำหนดของประเทศไทย และทั้ง 19 พื้นที่มีความเข้มข้นของฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) เกินค่ามาตรฐานในบรรยากาศทั่วไปในเวลา 1 ปี ตามข้อกำหนดขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO (10 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร)

 องค์การอนามัยโลกยังเตือนว่า มลพิษทางอากาศได้กลายเป็นภัยต่อสุขภาพที่อันตรายมากกว่าโรคระบาดอีโบลาและเอชไอวี โดยเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของคนราว 6.5 ล้านคนทุกปี จากรายงานของสหประชาชาติ ร้อยละ 90 ของการเสียชีวิตเหล่านี้เกิดขึ้นในประเทศที่มีรายได้ปานกลาง โดย 2 ใน 3 ของจำนวนนี้เกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกฝั่งตะวันตก รวมแล้วรายงานได้เผยว่าร้อยละ 92 ของประชากรโลก หรือราว 6.76 พันล้านคน อาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีมลพิษทางอากาศเกินเกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลกกำหนด

 ฝ่ายสุขาภิบาลทั่วไป กองอนามัยสิ่งแวดล้อม สำนักอนามัยกรุงเทพมหานคร ให้ข้อมูลผ่านเว็บไซต์ของตัวเองว่าฝุ่นในอากาศ ริมถนนของกรุงเทพมหานครเป็นฝุ่นที่เกิดจากควันดำของรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลถึง 40% ซึ่งมีสารก่อมะเร็งปะปนอยู่ด้วย สำหรับสาเหตุการเกิดมลพิษมาจากการคมนาคมขนส่ง โดยเฉพาะไอเสียจากยานพาหนะที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงต่างๆ ทั้งดีเซลและแก๊สโซฮอล์เป็นแหล่งกำเนิดที่สำคัญของพีเอ็ม 2.5

 ทางด้านสำนักจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ข้อมูลถึงการสังเกตว่าเป็นหมอกหรือควันในอากาศนั้น หากเป็นหมอกจะมีสีขาว แต่หากมีฝุ่นละอองปนมาด้วยจะออกสีขาวปนน้ำตาล เมื่อประชาชนเห็นว่าเริ่มมีฝุ่นละอองก็ควรหลีกเลี่ยงการเผชิญอากาศภายนอก

 เถลิงศักดิ์ เพ็ชรสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักจัดการคุณภาพอากาศและเสียง เปิดเผยว่า สถานการณ์มลพิษในพื้นที่กรุงเทพฯ เมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมา ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) สูงเกินค่ามาตรฐานที่ 50 ไมโครกรัม/ลูกบาศ์กเมตร เนื่องด้วยสภาพอากาศนิ่ง ลมสงบ ไม่มีแสงแดด และชั้นอากาศผกผันใกล้พื้นดิน ทำให้มลพิษทางอากาศเกิดการสะสมตัวในปริมาณมากและไม่เกิดการระบาย จึงมีค่าฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐานและมีผลกระทบต่อร่างกาย หลายๆ คนจึงอาจมีอาการระคายคอ หายใจไม่สะดวก

หาทางออก หมอกฝุ่นละอองพิษพีเอ็ม 2.5

 ปัจจุบันเครื่องตรวจวัดฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ ยังมีเพียงแค่ 5 จุดเท่านั้น ในเขตบางนา วังทองหลาง ริมถนนพระราม 4 ริมถนนอินทรพิทักษ์ เขตธนบุรี และริมถนนลาดพร้าว

ข้อเรียกร้องและนำเสนอจากกรีนพีซประเทศไทย

 กรีนพีซประเทศไทยได้ออกมาเรียกร้องให้กรมควบคุมมลพิษให้ข้อมูลที่ชัดเจนด้านมลพิษทางอากาศ โดยนำค่าพีเอ็ม 2.5 เข้ามาคำนวณในดัชนีคุณภาพอากาศ เพื่อประชาชนจะได้รับรู้ข้อมูลที่แท้จริงและพร้อมป้องกันตัวจากพีเอ็ม 2.5 และขอให้ประชาชนร่วมลงชื่อเรียกร้องให้กรมควบคุมมลพิษใช้ค่าเฉลี่ยพีเอ็ม 2.5 ในการคำนวณดัชนีคุณภาพอากาศ (PM 2.5 AQI) เพื่อยกระดับมาตรฐานการวัดคุณภาพอากาศในประเทศไทย

 พร้อมกับอธิบายว่า พีเอ็ม 2.5 เป็นฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) คือฝุ่นที่เล็กกว่า 1 ใน 25 ส่วนของเส้นผ่าศูนย์กลางของเส้นผมมนุษย์ สามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ถุงลมในปอดและกระแสเลือดโดยตรง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเรื้อรัง PM 2.5 แบ่งเป็นฝุ่นที่เกิดจากแหล่งกำเนิดโดยตรง และจากการรวมตัวของก๊าซและมลพิษอื่นๆ ในบรรยากาศ โดยเฉพาะซัลเฟอร์ไดออกไซด์และออกไซด์ของไนโตรเจน

 ในจดหมายเปิดผนึกที่ส่งถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่องนโยบายจัดการคุณภาพอากาศพีเอ็ม 2.5 ของประเทศไทย กรีนพีซประเทศไทยได้นำเสนอการที่จะไปให้ถึงวิสัยทัศน์ “อากาศสะอาดเพื่อเราทุกคน” (Safe Air for All) ที่รัฐบาลตั้งไว้ในร่างแผนยุทธศาสตร์การจัดการคุณภาพอากาศ 20 ปี รัฐบาลจะต้องกําหนดค่ามาตรฐานพีเอ็ม 2.5 และปรอทที่แหล่งกําเนิดที่อยู่กับที่ (Stationery Sources) รวมถึงการตรวจวัดและรายงานการปล่อยพีเอ็ม 2.5 และปรอทจากปล่องโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล

 มีการตั้งเป้าหมายการลดการสัมผัสฝุ่นละอองพีเอ็ม 2.5 ในบรรยากาศทั่วไปของกลุ่มประชากรลงอย่างน้อยที่สุดร้อยละ 30 ภายในระยะเวลาของการดำเนินงานในร่างแผนยุทธศาสตร์การจัดการคุณภาพอากาศ 20 ปี

 เพิ่มเป้าหมายการลดอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากมลพิษทางอากาศให้เป็นตัวชี้วัดในแผนยุทธศาสตร์ให้ชัดเจน

หาทางออก หมอกฝุ่นละอองพิษพีเอ็ม 2.5

 ติดตามตรวจสอบและรายงานความเข้มข้นของฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) และสารมลพิษทางอากาศอื่นๆ ที่เป็นภัยคุกคามสุขภาพอนามัยของประชาชน เช่น โพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (PAHs) โดยสาธารณชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้

 คำนึงการดำเนินมาตรการในข้อ 8 (Article 8) ของอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอทที่มุ่งเน้นถึงการควบคุมและลดการปล่อย (Emission) ปรอทออกสู่บรรยากาศจากแหล่งกำเนิดที่มีจุดกำเนิดแน่นอน (Point Sources) ตามรายการที่ระบุไว้ในภาคผนวก D (Annex D) ของอนุสัญญาฯ อันได้แก่ โรงไฟฟ้าถ่านหิน เป็นต้น

 ธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย กรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยในวันที่นักกิจกรรมกรีนพีซ นำเสนอนาฬิกาทรายที่บรรจุฝุ่นที่เก็บรวบรวมจากพื้นที่ปนเปื้อนมลพิษจากในกรุงเทพฯ และจากหลายจังหวัด ที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศ เพื่อส่งมอบให้กับตัวแทนนายกรัฐมนตรีว่า ประเด็นที่กลุ่มกรีนพีซประเทศไทยมาทำเนียบรัฐบาลก็คือเรื่องเกี่ยวกับมลพิษในอากาศ

 “ในช่วงเวลานี้แม้ฝุ่นละอองค่าพีเอ็ม 2.5 จะลดลงแล้วก็ตาม แต่ไม่ใช่ว่าปัญหามลพิษทางอากาศจะหายตามไปด้วยกรีนพีซประเทศไทยก็ได้นำนาฬิกาจับเวลา เป็นสัญลักษณ์ถึงความเร่งด่วนของการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศในกรุงเทพฯ และประเทศไทย

 ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทำงานเกี่ยวกับมลพิษทางอากาศ ประเทศไทยซึ่งมุ่งสู่สังคมอุตสาหกรรมมากขึ้นเรื่อยๆ มีการขยายตัวของพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ มีการขยายตัวของอุตสาหกรรมแม้ว่าจะเป็นไปโดยเชื่องช้าก็ตามเพราะภาวะเศรษฐกิจโลก จะเห็นได้ว่าปัญหามลพิษทางอากาศ ซึ่งเป็นตัวหนึ่งในวิกฤตสิ่งแวดล้อมเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จะเห็นได้ว่าข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ ค่าเฉลี่ยความเข้มข้นของฝุ่นละอองรายปีในกรุงเทพฯ และหลายจุดของประเทศไทย

 ทั้งที่ตั้งของโรงไฟฟ้าแม่เมาะ โรงไฟฟ้าที่เป็นที่ตั้งของบริษัทเยื่อกระดาษที่ จ.ปราจีนบุรี และเขตอุตสาหกรรมชายฝั่งตะวันออกที่มีค่าเฉลี่ยพีเอ็ม 2.5 รายปีสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศไทยที่สูงกว่า 50 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร

หาทางออก หมอกฝุ่นละอองพิษพีเอ็ม 2.5

 ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาคือ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2561 ไปจนถึงปัจจุบัน มีวิกฤตฝุ่นละอองที่ปกคลุมในกรุงเทพฯ และที่ไม่ยอมหายไปไหนแม้มีฝนตกลงมาช่วยบ้างก็ตาม”

 จากข้อมูลที่ประมวลได้จากการวัดค่าฝุ่นละอองในอากาศจากสถานีต่างๆ ในกรุงเทพฯ และเขตปริมณฑล ธารา ย้ำว่าในช่วง 52 วันที่ผ่านมา มีค่ามลพิษสูงกว่ามาตรฐานถึง 40 กว่าวัน ตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลก คนกรุงเทพฯ จึงอยู่ในอากาศที่มีค่าความเข้มข้นของฝุ่นละอองในอากาศที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพประมาณ 30-40 วัน

 ปัจจุบันกรมควบคุมมลพิษอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบและติดตั้งเครื่องตรวจวัดพีเอ็ม 2.5 อย่างไรก็ตาม ในปี 2561 เตรียมติดตั้งอีก 20 เครื่อง และวางเป้าหมายว่าในปี 2563 จะติดตั้งให้ครบ 63 แห่งทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ชุมชนเมือง ธารา บอกว่า ตรงจุดนี้ไม่ต้องรอ เพราะประเทศไทยไม่มีดัชนีวัดคุณภาพอากาศที่เป็นมาตรฐานโลก ซึ่งไม่ได้รวมค่าวัดพีเอ็ม 2.5 เข้าไป

 “หากติดตามรายงานคุณภาพอากาศของกรมควบคุมมลพิษ ก็จะพบว่าส่วนใหญ่จะใช้ค่าความเข้มข้นของพีเอ็ม 2.5 ว่าเกินหรือไม่เกินมาตรฐาน ซึ่งคนทั่วไปจะไม่รู้ว่าค่ามาตรฐานจะเป็นอันตรายต่อพวกเขาอย่างไร มีทางเดียวที่จะได้รู้ถึงอันตรายของฝุ่นละอองมลพิษก็ต้องมีดัชนีคุณภาพอากาศพีเอ็ม 2.5 มารายงานและสื่อสารกับประชาชน เพราะว่าเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่คนทั่วไปจะรู้ได้ว่าอากาศในวันนั้นเป็นสีเหลือง สีเขียว ปลอดภัยอย่างไร

 ทุกวันนี้ไม่มีเลย ส่วนที่ใช้อยู่ซึ่งกรมควบคุมมลพิษพยายามอ้างว่าเขาทำไม่ได้ เพราะต้องติดตั้งเซ็นเตอร์พีเอ็ม 2.5 ให้ครบ 61 จุดทั่วประเทศก่อน ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 ปี ถามว่ารอได้เหรอ 3 ปี สุขภาพของคนรอไม่ได้ ส่วนกรุงเทพมหานครบอกว่าฝุ่นจะหายไปใน 11 ปี ซึ่งรอไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายที่กรุงเทพฯ และเมืองไทยจะมีดัชนีคุณภาพอากาศที่ทันสมัย ซึ่งสามารถทำได้เลย ไม่ต้องรอเวลา

 “ถ้าเราไม่แก้ปัญหาระยะยาวและยกระดับการวัดค่าคุณภาพอากาศพีเอ็ม 2.5 วิกฤตมลพิษทางอากาศก็จะเป็นอยู่อย่างนี้ก็จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ" ธารา ทิ้งท้าย

……….ล้อมกรอบ...........

รู้จักดัชนีชี้วัดพีเอ็ม 2.5 ค่าฝุ่นละอองเตือนหมอกควันพิษ

 ฝุ่นละอองที่เห็นลอยฟุ้งอยู่ในอากาศนั้น มีชื่อเรียกเป็นทางการคือ พีเอ็ม (Particulate Matter-PM) ซึ่งอาจอยู่ในสภาพของเหลวหรือของแข็งขนาดเล็กที่กระจายอยู่ในอากาศ เช่น อนุภาคต่างๆ เชื้อโรค ฝุ่นละออง จนทำให้มองเห็นในภาพกว้างเป็นลักษณะหมอกหรือควัน

 อันตรายจากการสูดดมอนุภาคเหล่านี้ขึ้นอยู่กับขนาด ปริมาณ คุณสมบัติทางเคมี และความเป็นพิษของอนุภาคนั้นๆ ฝุ่นละอองในอากาศมีขนาดตั้งแต่ 500 ไมครอน จนถึง 0.2 ไมครอน ฝุ่นละอองขนาดน้อยกว่า 100 ไมครอน สามารถแขวนลอยอยู่ในอากาศได้ โดยที่ฝุ่นละอองขนาด 100 ไมครอน อาจแขวนลอยในอากาศได้เพียง 2-3 นาที ในขณะที่ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 0.5 ไมครอน อาจแขวนลอยอยู่ในอากาศได้นานเป็นปี

 ฝุ่นละอองที่ปนเปื้อนอยู่ในบรรยากาศและสิ่งแวดล้อม สามารถแบ่งตามขนาดเป็น 2 ส่วน คือ ฝุ่นละอองขนาดใหญ่ (ขนาดมากกว่าพีเอ็ม 10 ขึ้นไป) และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (แบ่งเป็นหลายกลุ่ม ได้แก่ พีเอ็ม 10 พีเอ็ม 2.5 และพีเอ็ม 1)

 พีเอ็ม 2.5 เป็นฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) คือฝุ่นที่เล็กกว่า 1 ใน 25 ส่วนของเส้นผ่าศูนย์กลางของเส้นผมมนุษย์ สามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ถุงลมในปอดและกระแสเลือดโดยตรง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเรื้อรัง พีเอ็ม 2.5 แบ่งเป็นฝุ่นที่เกิดจากแหล่งกำเนิดโดยตรง และจากการรวมตัวของก๊าซและมลพิษอื่นๆ ในบรรยากาศ โดยเฉพาะซัลเฟอร์ไดออกไซด์และออกไซด์ของไนโตรเจน

 ปัจจุบันประเทศไทยยังใช้ค่าเกณฑ์มาตรฐานพีเอ็ม 10 (PM 10) โดยดูจากค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 24 ชั่วโมง ไม่ควรเกิน 120 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ในขณะที่องค์การอนามัยโลกกำหนดค่านี้ไว้ที่ 50 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร

 แต่ทั่วโลกสนใจค่าพีเอ็ม 2.5 ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพมากกว่า เพราะคือฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กสามารถแทรกซึมเข้าไปในร่างกายได้ลึกมาก อันตรายมาก  

 ปัจจุบันสามารถเข้าไปดูค่าฝุ่นละอองพีเอ็ม 2.5 ใน 5 สถานีพื้นที่กรุงเทพฯ ได้ที่ http://aqmthai.com/public_report.php แล้วกดเข้าไปดูในแต่ละสถานีที่มีเครื่องตรวจวัดแล้วตลอด 24 ชั่วโมง

ข่าวล่าสุด

เปิดตัว Gemini 3 Flash โมเดล AI ราคาประหยัดแต่ฉลาดเกือบเท่าเดิม