"อภิสิทธิ์"โชว์นโยบายเศรษฐกิจจับฉ่าย
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำรัฐบาล ยังมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวใกล้ 8% และปีหน้าอาจชะลอตัวลงมาบ้างขยายตัวได้ถึง 5%.....
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำรัฐบาล ยังมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวใกล้ 8% และปีหน้าอาจชะลอตัวลงมาบ้างขยายตัวได้ถึง 5%.....
ในขณะที่ค่าเงินบาทยังคงมีแนวโน้มไปในทิศทางแข็งค่าจนหลุด 29 บาทต่อเหรียญสหรัฐไปแล้ว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำรัฐบาล ก็ยังมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวใกล้ 8% และปีหน้าอาจชะลอตัวลงมาบ้างขยายตัวได้ถึง 5%
สิ่งที่ทำให้นายกรัฐมนตรีมั่นอกมั่นใจว่าอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จะโตไม่หยุดฉุดไม่อยู่ ก็เพราะ รัฐบาลมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยกระตุ้นผ่านโครงการไทยเข้มแข็ง ที่ทำงบประมาณขาดดุลต่อเนื่องถึงปี 2555 นอกจากนั้น จะมีการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เช่น รถไฟไทยจีน รวมถึงรถไฟฟ้าอีกหลายสาย
ในด้านการค้า ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (อาฟตา) และการใช้นโยบายเขตการค้าเสรีกับบางประเทศ เช่น ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น ทำให้เกิดการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจใน 5 ปี การค้า การลงทุนจึงยังไปได้
“ผมไม่เห็นความจำเป็นและไม่คิดว่าประเทศไทยจะต้องมีทุกสิ่งทุกอย่าง มีอุตสาหกรรมต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ เช่น โรงงานถลุงเหล็กอาจจะไปตั้งในประเทศพม่าก็ได้ แต่เรามีโรงงานรีดเหล็กในประเทศไทย” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
สำหรับประเทศไทย จุดแข็งคือความงดงาม ไทยยังมีเสน่ห์ดึงนักท่องเที่ยว มีเศรษฐกิจแข็งแรงและขับเคลื่อนโดยเอกชน และ ต้องมีความหลากหลาย ไม่ควรจะไปกำหนดว่าเราจะมีอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งเป็นหลัก เพราะหากเกิดความผันผวนเศรษฐกิจโลกเราจะลำบาก ต้องมีความหลากหลายในระบบเศรษฐกิจ ถึงจะอยู่รอด
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การมีเขตการค้าเสรีทำให้การค้าและการลงทุนของไทยเปลี่ยนไป เราจะต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วยการพัฒนาคน ปรับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ การทำเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตร
เมื่อเศรษฐกิจขับเคลื่อนโดยเอกชนรัฐบาลมีหน้าที่จะดูแลความมั่นคงให้ชีวิตประชาชน แม้เศรษฐกิจผันผวนก็จะต้องทำให้คนมีหลักประกันในชีวิต รัฐบาลจะปล่อยให้คนเดือดร้อน ว่างงาน และเกษตรกรไม่มีรายได้ไม่ได้ รัฐบาลได้ทำนโยบายรัฐสวัสดิการไปแล้ว โดยจะเน้นการรักษาพยาบาลฟรีและเรียนฟรี ไม่ได้ให้สวัสดิการไปทุกอย่าง
“ในอนาคตประเทศไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุ รัฐบาลจำเป็นต้องวางแนวทางรองรับไว้ก่อน เช่น ทำกองทุนการออมแห่งชาติ ต่อยอดประกันสังคมให้ผู้ที่เป็นแรงงานนอกระบบเข้ามาอยู่ในนี้ได้” นายกฯ กล่าว
สำหรับปัญหาเงินบาทแข็งค่ามากนั้น ในวันที่ 12 ต.ค.นี้ รมว.คลังจะเสนอแผนช่วยเหลืออุตสาหกรรมเอสเอ็มอีและผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
ทั้งนี้ เรื่องค่าเงินบาทเป็นเรื่องที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นผู้ดูแล หากเงินเข้ามาแบบไม่สมเหตุสมผล ธปท.จะออกมาตรการมาดูแลเอง แต่ขณะนี้ไม่เห็นว่าเป็นปัญหา เพราะค่าเงินขนาดนี้การส่งออกยังขยายตัวดี และมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดและเกินดุลการค้าอยู่ ถือว่ายังไม่มีปัญหา
“เศรษฐกิจโลกเป็นอย่างนี้เราสู้ค่าเงินไปเราก็แพ้ ต้องช่วยเหลือคนเดือดร้อนเป็นกลุ่มๆ ไป และ รัฐบาลไม่มีนโยบายที่จะเลิกการใช้ดอกเบี้ยควบคุมอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Tarketing)” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
อย่างไรก็ดี การที่เศรษฐกิจขยายตัวเกิน 7% แต่รายได้กระจุกตัวอยู่ในบางกลุ่ม ทำให้สถิติอาชญากรรมกลับสูงขึ้นสวนทางกัน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้กำชับให้นำตัวเลขสถิติอาชญากรรมมาให้ดูว่ามีการจี้ปล้นมากมายแค่ไหน แต่เท่าที่ดูก็ไม่เห็นตัวเลขสถิติอาชญากรรมสูงขึ้นผิดปกติ ต้องไปดูในรายละเอียดว่าอาชญากรรมใดที่เพิ่มขึ้น และเพิ่มจากปัญหาเศรษฐกิจหรือปัญหาอื่นกันแน่


