"พิชัย" เย้ย ก่อนรัฐประหารความสะดวกในการทำธุรกิจของไทยอยู่อันดับที่ 18
"พิชัย" เย้ย "สมคิด" บอกไม่หมด ก่อนรัฐประหาร ความสะดวกในการทำธุรกิจของไทยอยู่อันดับที่ 18 ดีกว่าที่ 26 ตอนนี้ สาเหตุที่อันดับทรุดลงไปที่ 46 มาจากการรัฐประหาร
"พิชัย" เย้ย "สมคิด" บอกไม่หมด ก่อนรัฐประหาร ความสะดวกในการทำธุรกิจของไทยอยู่อันดับที่ 18 ดีกว่าที่ 26 ตอนนี้ สาเหตุที่อันดับทรุดลงไปที่ 46 มาจากการรัฐประหาร
เมื่อวันที่ 4 พย. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า ตามที่รัฐบาล โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ออกมาแสดงความดีใจที่ธนาคารโลกจัดอันดับความสะดวกในการลงทุนของไทยดีขึ้น 20 อันดับ จากอันดับที่ 46 ขึ้นมาอยู่ที่อันดับที่ 26 โดยอ้างว่าเป็นความสำเร็จในการบริหารงานของรัฐบาล ซึ่งอาจจะเป็นความจริงแค่บางส่วน ทั้งนี้อยากให้ข้อมูลที่เป็นจริง เพราะหากมองย้อนหลังจะพบว่า ก่อนการรัฐประหารอันดับความสะดวกในการทำธุรกิจอยู่ที่ อันดับที่ 18 ในปี 2556 และ ปี 2557 และตั้งแต่มีการจัดอันดับตั้งแต่ปี 2547-2557 ประเทศไทยอยู่อันดับ 12-19 มาโดยตลอด อันดับมาตกลงอย่างหนักหลังการปฏิวัติ โดยในปี 2558 ตกลงมาอยู่ที่ 46 หรือตกลงถึง 26 อันดับ (ซึ่งถือเป็นความล้มเหลวหรือไม่) และตกลงไปถึงอันดับที่ 49 ในปี 2559 และพึ่งจะฟื้นมาอยู่ที่ 26 ซึ่งยังคงต่ำกว่าอันดับเดิมที่ 18 ก่อนจะมีการปฏิวัติ และในอดีตก็ไม่ต้องมี ม.44 ก็มีอันดับที่ดีกว่าได้ นอกจากนี้ ก็หวังว่าความสะดวกในการทำธุรกิจที่ดีขึ้นจะสามารถทำให้การลงทุนเพิ่มขึ้น และอยากให้นายสมคิด เปิดเผยยอดการลงทุนที่แท้จริงว่ามียอดเท่าไหร่ เทียบกับก่อนการปฏิวัติแล้วลดลงเท่าไหร่ และที่เชิญกลุ่มนักลงทุนญี่ปุ่นมาโปรโมทเขตอีอีซี 5-600 คน แล้วมียอดการลงทุนเท่าไหร่ ซึ่งทราบว่ามียอดลงทุนไม่มากใช่หรือไม่ ไม่อยากให้ใช้อันดับความสะดวกในการลงทุนเป็นเพียงแค่เครื่องมือเพื่อการตลาดเท่านั้น แต่การลงทุนไม่เกิดขึ้นจริง และหากการลงทุนเข้ามามากจริง รัฐบาลคงไม่ต้องออก ม. 44 เพื่อเร่งการลงทุน โดยไม่คำนึงผลกระทบในอนาคต


