posttoday

มานพ อุดมเกิดมงคล ฟ้าลิขิตให้เป็นนักเศรษฐศาสตร์

06 สิงหาคม 2560

หากกล่าวถึง “ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์” แล้ว ไม่มีนักเศรษฐศาสตร์ในประเทศไทยที่ไม่รู้จัก เพราะท่านถือเป็นปูชนียบุคคล

โดย...ฉัตรชัย ธนจินดาเลิศ

หากกล่าวถึง “ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์” แล้ว ไม่มีนักเศรษฐศาสตร์ในประเทศไทยที่ไม่รู้จัก เพราะท่านถือเป็นปูชนียบุคคล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนนี้ เป็นผู้วางรากฐานของธปท. เป็นมือขวาของอดีตขุนคลังผู้เป็นตำนานอย่าง สมหมาย ฮุนตระกูล ผู้อยู่
เบื้องหลังการลดค่าเงินบาทครั้งแรกของประเทศไทย และยังเป็นผู้ที่ผลักดันให้มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกิดขึ้นในไทย จนเป็นรากฐานที่สำคัญของประเทศมาจนถึงทุกวันนี้

ไม่เพียงเท่านี้ ดร.ป๋วย ยังเป็นคนจุดประกายให้“มานพ อุดมเกิดมงคล” ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและนักลงทุนสัมพันธ์ ธนาคารยูโอบี (ไทย) กลายเป็นดุษฎีบัณฑิต ด้านเศรษฐศาสตร์ ของไทยอีกคนหนึ่ง ที่พร้อมถ่ายทอดเรื่องราวยากๆ สลับซับซ้อน ให้กับผู้คนได้รับรู้อย่างเข้าใจมากขึ้น

มานพ กล่าวว่า แรงบันดาลใจที่ทำให้เลือกเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ เรียกได้ว่าเป็น “ฟ้าลิขิต” เหมือนเป็นความบังเอิญมากกว่าตั้งใจ

“จุดเริ่มต้นในการเลือกเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์นั้น ก็ต้องย้อนกลับไปในช่วงที่ต้องตัดสินใจว่า จะเลือกเรียนคณะไหน ในการสอบเข้าปริญญาตรี” มานพ กล่าว

เขาเล่าว่า “วันหนึ่งผมไปเดินเล่นแถวคลองหลอด ซึ่งสมัยนั้นยังมีให้ตั้งแผงขายของได้อยู่ ผมก็เจอกับแผงหนังสือเก่า เป็นวารสารแนะนำคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์เล่มหนึ่งที่เขาทำสกู๊ปเรื่องเกี่ยวกับ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้จักเลยว่า อ.ป๋วย คือใคร ผมก็เก็บความสงสัยไว้ จนได้ศึกษาและอ่านประวัติของท่าน และพบว่าท่านเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของไทย และเคยเป็นถึงผู้ว่าการแบงก์ชาติคนสำคัญของไทยอีกด้วย”

ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเลือกคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นหนึ่งในคณะที่ต้องการสอบเข้าเรียนปริญญาตรี และในที่สุดก็ได้เรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุดเริ่มต้นจึงมาจากตรงนั้น

“ตอนเรียนปริญญาตรี คะแนนหรือเกรดเฉลี่ยที่ได้ก็ไม่โดดเด่นอะไรมากนัก เฉลี่ยก็อยู่ที่ประมาณ 3.0 ซึ่งตอนนั้นพอเรียนจบก็คิดว่าจะไม่ทำงานที่เกี่ยวอะไรกับเศรษฐศาสตร์อีก แต่อยากเป็นนักการตลาดที่เก่งที่สุดของประเทศมากกว่า” มานพ กล่าว

หลังจากเรียนจบเดือน มี.ค. 2540 ช่วงเดือน ก.ค. 2540 ก็เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งขึ้น ผู้คนตกงานกันมาก แต่โชคยังดีที่ตอนนั้นมานพยังได้งานเป็นเจ้าหน้าที่คุมฝ่ายขาย ของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง คอยดูว่าพนักงานทำงานเป็นอย่างไรบ้าง มีการฉ้อโกงบริษัทเกิดขึ้นหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็ไม่ชอบงานแบบนี้อีก ก็เลยตัดสินใจลาออกมา

ย้อนเวลากลับไปในช่วงนั้น มานพคิดตอนเรียนว่าเป็นความผิดเขาเอง ที่เลือกเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ จะเรียนไปทำไม 

“ผมบอกกับตัวเองว่า เรียนไปเล่นหุ้น ซึ่งตอนนั้นหุ้นอยู่ 700 จุด แต่เวลาเรียนจริงๆ มีวิชาเดียวที่เกี่ยวข้องกับหุ้นอย่างเดียว และเนื้อหาสรุปที่ผมจำได้ คือ ถ้าหุ้นขึ้น ดอกเบี้ยลดลง เท่านั้นเอง ซึ่งก็ไม่ตอบโจทย์ผมอีก” มานพ กล่าว

ดังนั้น เขาจึงแค่เรียนให้จบๆ ไป และพยายามชอบชิงทุนไปเรียนหลักสูตรอื่น แต่ใช้เวลา 3 ปี ก็ยังหาทุนและสอบชิงทุนไม่ได้ จนในที่สุดแบงก์ชาติก็เปิดรับเศรษฐกรขึ้น เขาตัดสินใจไปสมัครในวันสุดท้ายพอดี ตอนนั้นมีผู้สมัคร 850 คน ซึ่งก็ต้องแข่งขันกันน่าดู

“ช่วงที่ผมยังทำงานอย่างอื่นอยู่ ผมยอมลงทุนนั่งแท็กซี่ไปทำงาน เช้า-เย็น เพื่อจะได้มีเวลาอ่านหนังสือบนรถ และในที่สุดก็สอบได้อันดับที่ 9 จากทั้งหมด 15 คนผมก็คิดว่าเป็นปาฏิหาริย์อีกอย่างของผมนะ ผมเชื่อว่าบางทีคนลิขิตไม่เท่ากับฟ้าลิขิต”  ซึ่งถึงทุกวันนี้ผมก็ยังเก็บบัตรสอบนี้ไว้อยู่” มานพ กล่าว

มานพเริ่มทำงานที่แบงก์ชาติเมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2541 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจกับประเทศพอดี และเป็นช่วงที่คนกำลังนำพวงหรีดมาวางหน้าแบงก์ชาติ เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์ไม่รู้ลืมทีเดียว

ทำงานมาได้ 5 ปี มานพก็ได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษ 1 ปี พอเรียนปริญญาโทจบก็ได้ทุนเรียนปริญญาเอกต่ออีก 4 ปี ถึงได้กลับมาทำงานที่แบงก์ชาติต่อจนถึงปี 2555 จึงลาออกจากแบงก์ชาติ

“ตอนนี้เท่าที่ทราบ รุ่นผม 15 คน ที่เข้าไปทำงานพร้อมกันที่แบงก์ชาติ ปัจจุบันน่าจะเหลือแค่ 3 คนเท่านั้น” เขากล่าว

ส่วนสาเหตุที่ทำให้เขาลาออกมาจากแบงก์ชาติ เพราะถึงจุดอิ่มตัวแล้ว อยากหาความท้าทายใหม่ๆ ก็ได้  จึงตัดสินใจเดินออกมาจากสถาบันอันทรงเกียรติแห่งนี้

“ผมออกจากแบงก์ชาติมาตอนอายุ 35 ปี ไปทำอยู่ฝ่ายวิจัยข้อมูลเศรษฐกิจ ธนาคารเอกชนแห่งหนึ่งอยู่ 2 ปีให้ข้อมูลทั้งลูกค้าแบงก์และภายในแบงก์เอง แต่ก็ยังอยากหาความท้าทายใหม่ๆ อีก จึงย้ายมาทำงานกับแบงก์ต่างชาติจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งก็ได้มุมมองที่ต่างกันอีกระหว่างแบงก์ไทยกับแบงก์ต่างชาติ” เขากล่าว

มานพ บอกว่า ถ้าคุณไม่อยากเปลี่ยนแปลงก็ต้องเปลี่ยน เพราะถ้าทำอะไรที่มั่วๆ มันก็จะมาเร็วและก็จะไปเร็วซึ่งย่อมไม่ดีแน่ แต่ถ้าทำงานได้ดีก็จะเจริญก้าวหน้าเร็ว กลายเป็นว่าข้อมูลที่ทำออกมานั้นมีความน่าเชื่อถือ ได้ทั้งปริมาณและคุณภาพ ต่างประเทศก็เชื่อถือ ซึ่งผมไม่จำเป็นต้องไปทำงานที่ต่างประเทศก็ได้ แต่ก็สามารถทำงานกับแบงก์ต่างชาติในไทยได้เหมือนกัน

“กว่าผมจะรู้ว่าเศรษฐศาสตร์ที่แท้จริงคืออะไรก็ตอนเรียนปริญญาเอกเข้าไปแล้ว ตอนเรียนปริญญาตรี เพราะผมอยากเล่นหุ้น ตอนเรียนปริญญาโทผมก็ยังไม่แน่ใจ ปริญญาเอกผมถึงรู้ซึ้งถึงเศรษฐศาสตร์ ตอนนี้ผมมองทุกอย่างเป็นเงิน เป็นในแง่วิชาการ แต่ไม่ใช่อยากได้เงินหรือต้องการมีเงินมากๆ นะ” มานพ กล่าว

ปัจจุบันผมมีหน้าที่รับผิดชอบในพื้นที่ไทยและเวียดนาม แต่ในอนาคตถ้าเศรษฐกิจในภูมิภาคเติบโตมากขึ้นก็คงต้องเข้าไปรับผิดชอบหมด ซึ่งตำแหน่งที่ผมทำอยู่นอกจากเรื่องการวิจัยข้อมูลแล้ว ยังต้องดูด้านนักลงทุนสัมพันธ์ด้วย

มานพ กล่าวอีกว่า หลังจากมาทำงานเอกชนก็มีมุมมองรอบด้านมากขึ้น มีการพบปะลูกค้ารายย่อยทั่วไป พบกับผู้บริหารระดับต่างๆ มีบรรยากาศการเจรจาต่อรองธุรกิจ เป็นบรรยากาศอีกแบบหนึ่ง คนละบรรยากาศกับที่อยู่แบงก์ชาติ

ปัจจุบันมานพใช้เวลาว่างส่วนหนึ่งไปสอนหนังสือให้นักศึกษาปริญญาโทอีกด้วย เพื่อถ่ายทอดความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ให้กว้างขวางขึ้น ซึ่งแนวทางการสอนวิชาเศรษฐศาสตร์ของเขาคือ “ถ้าคุณรู้เรื่องใด เรื่องหนึ่งอย่างลึกซึ้ง เราก็จะรู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิตได้”

ข่าวล่าสุด

สยามพิวรรธน์คว้า 2 รางวัลโลก พร้อมเปิด NEXTOPIA สยามพารากอน