posttoday

สัมภาษณ์พิเศษ: ถ่ายเลือดเสื้อแดง

18 กันยายน 2553

สปอตไลต์แดงส่องตรงมายัง บก.ลายจุด สมบัติ  บุญงามอนงค์ หรือ "หนูหริ่ง" แกนนำกลุ่ม"วันอาทิตย์สีแดง"จนศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) สั่งจับตากิจกรรมครบรอบ 4 ปี รัฐประหาร 19 ก.ย. และ 4 เดือนแห่งการเสียชีวิตของคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์

สปอตไลต์แดงส่องตรงมายัง บก.ลายจุด สมบัติ  บุญงามอนงค์ หรือ "หนูหริ่ง" แกนนำกลุ่ม"วันอาทิตย์สีแดง"จนศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) สั่งจับตากิจกรรมครบรอบ 4 ปี รัฐประหาร 19 ก.ย. และ 4 เดือนแห่งการเสียชีวิตของคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์

โดย..ธนพล บางยี่ขัน

สัมภาษณ์พิเศษ: ถ่ายเลือดเสื้อแดง สมบัติ บุญงามอนงค์

ความมุ่งมั่นที่ต้องการเปิดพื้นที่การต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ หวังรักษา "หัวเชื้อแดง" ไม่ให้เหือดแห้งไปกับควันไฟ และเสียงปืน ในระหว่างที่แกนนำ นปช.ถูกจองจำแบบไร้อนาคต "หนูหริ่ง" จึงกลายเป็นอีกกลไกสำคัญที่ประเมินกันว่าอาจกลายเป็นแกนนำเสื้อแดงรุ่นต่อไป...
         
"ผมอาจจะมีอิทธิพลอยู่จริง แต่ผมไม่ใช่แกนนำผมจะไม่นำมวลชนในรูปแบบแกนนำที่ผ่านมา"

บก.ลายจุด อธิบายสิ่งที่เขากำลังขับเคลื่อนสังคมพร้อมระบุว่า มีหน้าที่แค่เป็นนักขายไอเดียเพื่อให้ความคิดถูกผลิตและพัฒนารูปแบบต่างๆ และวันหนึ่งหากมวลชนจับทางถูกก็จะพัฒนาต่อไปไม่หยุดยั้ง จนเกิดตลาด เกิดอุตสาหกรรม ของนักกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตยขึ้น
         
"จะเรียกว่าผมเป็นแกนนำเป็นอะไรก็เรียกไป แต่ผมก็ปฏิเสธกับมวลชน ไม่งั้นเขาจะคาดหวัง ถ้าผมนำได้จริง ผมคงนำแล้ว แต่เรารู้ตัวเองว่าการนำในแบบที่เคยนำ ผมทำไม่ได้ ผมไม่มีศักยภาพ เกินกว่านี้อีกหน่อยผมพังแล้ว"
         
ย้อนไปในอดีตหนูหริ่งตัดสินใจสลัดคราบเอ็นจีโอมาบุกเบิกกลุ่ม "19 ก.ย." ก่อนจับพลัดจับผลูมาเป็นแกนนำ นปก.รุ่น 2 ตามคำชักชวนจาก ประทีปอึ้งทรงธรรม ฮาตะ ด้วยเหตุผลที่แกนนำรุ่นแรกถูกจับก่อนทั้งหมดจะสลายตัวไปหลังมีการเลือกตั้ง
         
นั่นเป็นตัวเชื่อมเดียวที่ทำให้ "หนูหริ่ง" ได้รู้จักกับ"หมอเหวง" นพ.เหวง โตจิราการ และเป็นเพียงแค่แกนนำ นปช.คนเดียวที่เขารู้จัก ก่อนจะมีโอกาสได้รู้จักแกนนำคนอื่นๆ ระหว่างที่เขาเดินทางไปเยี่ยม "หมอเหวง" ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ
        
 "อย่าง ขวัญชัย ไพรพนา นี่ไม่เคยคุยกันแม้แต่ครั้งเดียว แต่รอบนี้ได้คุยกันตอนที่อยู่ในเรือนจำ เขาบอกว่าได้อ่านหนังสือพิมพ์ ตามข่าวผมอยู่ ขอชื่นชม แต่อยู่ข้างนอกแกไม่รู้จักผม อยู่ข้างหลังเวทีก็ไม่รู้ว่าผมเป็นใคร
         
...ผมเข้าหลังเวทียังเข้าไม่ได้เลย ไปยืนคอยหลังเวทีก็ยังเข้าไม่ได้ เพราะการ์ดไม่รู้จักผม เวลาผมจะเข้าหลังเวทีผมต้องยืนจนกว่าจะมีใครรู้จักผม และพาผมเข้าไป"
         
ทว่า ในฐานะผู้ที่เฝ้าดูการเคลื่อนไหวของ นปช.มาเกือบ 2 ปี หนูหริ่งมองว่า โมเดลการเคลื่อนไหวของนปช. "ไม่สมบูรณ์"ไม่ได้ออกแบบโมเดลของมวลชนทำให้การต่อสู้ไม่มีพลัง คอยคาดหวังให้ "องค์กร" เป็นฝ่ายนำ ซึ่งเวลานี้ล่มสลายไปแล้ว
         
"พอคุณเข้าไปแตะองค์กรนำได้ คุณจะรู้เลยว่าเขาเกินศักยภาพแล้ว ทำดีที่สุดที่จะทำได้แล้ว ดังนั้นใครที่จะทำได้ดีกว่านั้นได้ ก็คือมวลชน ซึ่งรูปแบบที่ผ่านมาเน้นในเรื่ององค์กรนำมากไป เวลาพูดถึงเสื้อแดงก็จะไปโฟกัสอยู่ที่สามเกลอ ที่แกนนำ แต่ในกระบวนการประชาธิปไตยมันไม่ใช่ ดูอย่างเวลาองค์กรนำแตกกระจาย คน 40-50 คน หรือ 200 คน ไม่สามารถออกมาได้ และทำให้คนที่อยู่เป็นล้านคนไปต่อไม่ได้ ผมว่าเกินไป ความจริงองค์กรนำถ้าขาดไปแล้ว ก็ต้องผลิตกิจกรรมที่ขับเคลื่อนได้แต่ละกลุ่มเอง ไม่ต้องรอแกนนำ แบบหมดอาลัยตายอยาก"
         
นี่ทำให้แกนนำกลุ่ม "วันอาทิตย์สีแดง"หันมาพุ่งเป้านำเสนอวาทกรรมเรื่อง "แกนนอน"ที่มองข้ามองค์กรนำ ให้ความสำคัญกับองค์กรประชาชน และการรวมกลุ่มขนาด 5-20 คน หลายๆ กลุ่ม เพื่อให้เกิดพลังที่มหาศาล เมื่อสร้างกลุ่มได้ก็ใส่โปรแกรมลงไปให้เขาออกแบบกิจกรรมเอง
         
เป็นแนวคิดเปลี่ยน "มวลชน"เป็น "ผู้ปฏิบัติการ"เปลี่ยน "สภากาแฟ"เป็น "กลุ่มปฏิบัติการ" หากเป็นแบบนี้มวลชนจะควบคุมองค์กรนำ และเป็นตัวกำหนดองค์กรนำที่มีพลังมากมากกว่าการที่มีองค์กรนำที่เข้มแข็งและมีมวลชนที่ยิบย่อย ซึ่งไม่รู้จะทำอะไร

ทว่า จากเหตุการณ์ "เผาบ้านเผาเมือง" บก.ลายจุดยอมรับว่า เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ต้องเสียแนวร่วม "แดง" ไปจำนวนไม่น้อย จนยากจะกอบกู้กลับมา
         
"คนถึงกับถอดเสื้อแดง พวกสัญลักษณ์ ตีนตบทั้งหลาย นี่เก็บใส่กล่องเลยนะ ไม่ใช่อยู่ในตู้เฉยๆ ยัดลงใต้เตียงด้วย สถานการณ์นี้เรียกได้ว่า ถูกรุกทางสัญลักษณ์พ่ายแพ้ติดกำแพง เกือบตกเหวแล้ว มันสะท้อนว่าสังคมไม่ยอมรับถ้าการเคลื่อนไหวนำไปสู่สิ่งเหล่านั้นแต่อาจจะต้องไปโต้เถียงกันอีกทีว่า สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร"
         
ท่วงทำนองการเคลื่อนไหวจากนี้จึงต้องคำนึงถึงความรู้สึกของสังคมและมาคำนวณออกแบบกิจกรรมการเคลื่อนไหวอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ นำตัวแปรทางความคิดความรู้สึกมาบวกลบคูณหารให้สังคมสัมผัสได้ว่า มันจะไม่เกิดสิ่งนั้นอีก
         
"ผมคงไม่ไล่รัฐบาล ผมพูดหลายครั้งแล้ว ใจจริงแล้วผมอยากให้รัฐบาลอยู่ครบวาระ ซึ่งผมให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้นานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่พวกขบวนเขาจะไล่แต่ผมเห็นต่างกับขบวน ผมรู้สึกว่าไม่เลวเสียทีเดียวที่เราจะได้รัฐบาลอภิสิทธิ์ที่มีประสิทธิภาพต่ำขณะนี้

..ประชาชนจะได้ดูฝีมือเขา เพราะถ้าเขามีฝีมือจริงประชาชนก็จะยอมรับ ผมว่ามันแฟร์ แม้เขาจะเข้ามาไม่ชอบธรรม แต่ถ้าเราอดทน ก็จะดี ตอนนั้นอภิสิทธิ์ก็ถูกวิจารณ์เยอะมาก แต่พอมีเสื้อแดง เสื้อแดงก็ดันมารับตีนพอดี กลายเป็นว่าความล้มเหลวของรัฐบาลความด้อยประสิทธิภาพทั้งหมด เกิดจากแดงมาชุมนุมทั้งที่มันเกิดมาจากความเน่าเฟะของรัฐบาลที่คอร์รัปชัน เขาโยนทั้งหมดให้เสื้อแดง แล้วเปลี่ยนทางน้ำไหล เสื้อแดงก็รับไปทั้งหมด"
         
ส่วนเรื่อง "ปรองดอง" นั้น หนูหริ่ง อธิบายว่า การเคลื่อนไหวของเสื้อแดงไม่ได้ขัดแย้งกับกระบวนการปรองดอง หนึ่งตัดสิ่งที่เรียกว่าความรุนแรงออกทั้งหมด สองรับฟังประชาชน แม้แต่รัฐบาลเราก็ฟัง
         
"นี่เป็นการสร้างบรรยากาศไม่รุนแรง ส่วนจะปรองดองกันได้หรือไม่ก็อีกเรื่อง แต่หากคนยังแตกต่างกันอยู่มาก ยังคิดต่างกันอยู่มาก มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้เขาหยุดคิด จนกว่าเขาจะตกผลึกหรือมีที่ทางให้อยู่กับคนที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเพียงแต่มีเงื่อนไงว่า ถ้าปรองดองกันไม่ได้ก็อย่าฆ่ากัน แต่ทะเลาะกันได้ อย่าสนับสนุนหรือเปิดทางให้ใครฆ่าใคร อย่าปิดตาถ้ากำลังมีใครฆ่าใคร"
         
แม้ระยะหลังจะเกิดวิวัฒนาการในขบวน "แดง" ที่แบ่งออกเป็นหลายเฉด เข้ม อ่อน สด ซีด แตกต่างกันไป "หนูหริ่ง"จำแนกว่า มีไขว้ไปมาโดยมีพื้นฐานจากสองกลุ่มใหญ่ กลุ่มแรกผู้สนับสนุน "ทักษิณ" ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ และกลุ่มที่สอง พวกที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร
        
 เขาว่า การที่สองกลุ่มอยู่ด้วยกันมา 4 ปี ทำให้เกิดการอภิปรายกันต่อเนื่อง เกิดการต่อสู้ภายใน ทั้งฐานความคิดและการเติบโตทางวิธีคิด มีวาทกรรมเรื่องก้าวข้ามทักษิณ ไปสู่เรื่องประชาธิปไตยที่ชัดเจน เรื่องความเสมอภาค เรื่องเกี่ยวกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
         
"แดงเป็นแดงแล้ว ไม่มีทางไม่เป็นแดง ผมยังไม่เคยเจอใครที่ถอดเสื้อแดงว่าไม่แดง หรือเปลี่ยนใจแล้ว... ไม่มี แต่แดงกลับมีพลังมากขึ้น มีความฮึกเหิมจิตใจต่อสู้มากขึ้น แต่สิ่งที่ยากที่ผมเคยเจอ คือ การประกาศตัวว่าเป็นเสื้อแดง คนไม่กล้าบอกว่าตัวเองเป็นเสื้อแดง ต้องแอบ ต้องเนียน ไม่งั้นต้องเลิกเลย อย่างในเฟซบุ๊กนี่คุณอาจจะต้องเลิกเขียน เพราะถ้าหากคุณประกาศเป็นเสื้อแดงคุณจะโดนการปะทะ"


จดหมายถึง"ฟ้า"...คำตอบที่คลาสสิก

สัมภาษณ์พิเศษ: ถ่ายเลือดเสื้อแดง

ไฮไลต์สำคัญสำหรับกิจกรรมการเคลื่อนไหวของมวลหมู่คนเสื้อแดง วันที่ 19 ก.ย.นี้ เริ่มต้นตั้งแต่ 17.00 น. ด้วยการปล่อยลูกโป่งสีแดงนับหมื่นลูกพร้อมสัญลักษณ์เครื่องหมาย"?"ด้วยวาทกรรมสำคัญ "จดหมายถึงฟ้า""หนูหริ่ง" อธิบายที่มากิจกรรม "จดหมายถึงฟ้า"ว่า ที่ผ่านมาคนจำนวนไม่น้อยตั้งคำถามว่า ทำไมประเทศไทยต้องเป็นแบบนี้ทำไมต้องปฏิวัติ ทำไมต้องมีคนตาย ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์ย้อนกลับมามากมายได้ขนาดนี้เมื่อรัฐบาลให้คำตอบไม่ได้ ก็คิดว่าปล่อยลูกโป่งดูว่า ใครจะตอบได้บ้าง
         
"ใครตอบได้ช่วยตอบที คำตอบอยู่ในสายลมนะ ผมว่าคำนี้คลาสสิกนะ"
       
 กิจกรรมที่สอง ผูกผ้าราชประสงค์ ขยายผลจากกิจกรรมของกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ซึ่งเคยผูกผ้าแดงที่ป้ายราชประสงค์ แต่ครั้งนี้จะขยายไปทั่วราชประสงค์ นับแสนชิ้น ตรงไหนผูกได้ก็ผูก รั้ว ต้นไม้ เสาไฟ
        
ต่อด้วยกิจกรรมนอนตาย ภายใต้วาทกรรม"ที่นี่มีคนตาย" ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เจ้าตัวบอกว่าสร้างสีสันเป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา ภายใต้การจุดประกายแนวคิดของกลุ่ม "ประกายไฟ"ซึ่งครั้งนี้จะมีคนมานอนตายช่วงหลังเคารพธงชาติหลายร้อยคน  ปิดท้ายฤกษ์งามยามดี 19.09 น. ในวันที่19 เดือน 09 กับกิจกรรมจุดเทียนแดงไว้อาลัย

กระนั้น หนูหริ่งยอมรับว่า ที่น่าเป็นห่วงคือการจัดงานของ กทม. ที่เปิดให้ผู้ประสบภัยจากการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงได้มาออกร้านขายสินค้าในบริเวณดังกล่าว เพราะสุ่มเสี่ยงต่อการกระทบกระทั่งของทั้งสองฝ่าย
         
"โดยเฉพาะลานกิจกรรมที่เสื้อแดงจะเปิดให้กลุ่มคนต่างเข้ามาร่วมแจม ทั้งแต่งตัวหลอกผีสืบเนื่องจากกิจกรรมที่นี่มีคนตาย ไปจนถึงวอล์กแรลลี ที่จะติดป้ายตามจุดแต่ละจุดซึ่งจะมีเรื่องราวตรงนั้นว่าเคยเกิดอะไรขึ้น โดยปล่อยให้ 'ศิษย์เก่าราชประสงค์' เป็นคนเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น"
         
"กิจกรรมเหล่านี้เป็นกิจกรรมที่ทำได้ทุกคนผมแค่ติดต่อผู้ประกอบการให้มาขายลูกโป่งผ้าแดง ให้กลุ่มคนที่มาหาซื้อกันเอง ผมไม่มีเงินผ้าแดงคุณก็ไปซื้อเอง ไม่มีการจัดเครื่องเสียงเวทีใหญ่ ผมไม่มีการ์ด เราแค่เลือกสิ่งที่มวลชนมีส่วนร่วมได้ เช่นเขาซื้อลูกโป่ง 15-20 บาทแต่เชื่อว่าอาจจะมีคนมาเป็นสปอนเซอร์ให้ค่ารถเราก็ไม่มีให้ รถบัสก็ไม่มี ข้าวไม่มีเลี้ยงผมทำเท่านี้ก็เหนื่อยตายแล้ว ถ้ายังต้องมาจัดการอะไรให้ แล้วมันจะเข้มแข็งได้ไง"
         
ส่วนกิจกรรมอื่นๆ ในเครือข่ายแดงนั้น"หนูหริ่ง" อธิบายว่า เป็นการทำงานที่สอดประสานกัน ต่างคนต่างทำ แต่ละคนต่างรับรู้ร่วมกัน "พอผมประกาศว่าผมจะจัด 19 ก.ย. ที่ราชประสงค์ พี่ยศ (สมยศ พฤกษาเกษมสุขแกนนำแดงสยาม) ก็ประกาศว่าขึ้นเชียงใหม่"
         
"เล่นกันแบบแจ๊ซ ผมคิดว่าเวลาเล่นสอดคล้องกันต้องเล่นแบบนี้ คือเครื่องดนตรีเราไม่เหมือนกัน แต่ดูจังหวะกันสักหน่อย เล่นกันให้เป็น จะเข้าจะออกอย่างไรก็เอาให้ดูพอมันรวมกันแล้วก็กลมกลืน แต่โอเคเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นแต่ละสไตล์ก็แล้วแต่ก็ว่ากันไป"
         
หนูหริ่งอธิบายถึงรูปแบบการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ว่า หลังการสลายการชุมนุม 19 พ.ค.รูปแบบการเคลื่อนไหวที่เคยใช้ติดขัดไปหมด นี่จึงเป็นไม่กี่ช่องทางที่ทำได้ แต่ไม่ได้ทำให้คนหยุดคิด เพราะถ้าคนหยุดคิดเมื่อไรมันก็อาจนอกลู่นอกทาง ลงใต้ดิน ซึ่งอันตรายมาก
         
"ผมก็ไม่เชื่อว่าเสื้อแดงจะชนะด้วยวิธีนี้คุณจะถอดเสื้อแดงไปใส่เสื้อดำ มันจะชนะได้ไง คุณจะสู้กับกองกำลัง กับทหารที่เขามีอยู่เต็มที่ได้ไง ไม่น่าจะชนะ สุ่มเสี่ยงทำให้เกิดความสูญเสีย"
         
"ตอนแรกๆ อาจจะดูเพ้อเจ้อหน่อย แต่หลังๆ ดีขึ้น การต่อสู้เชิงสัญลักษณ์มันทำให้มีที่ยืนในสังคม มันสร้างอิมแพกต์แปลกๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนได้ เป็นปรากฏการณ์ที่สามารถหลุดรอดแนวปะทะของรัฐที่ตั้งขึ้นมาอย่าง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และไปจับมือสร้างแนวร่วมที่กว้างขวางกว่าที่ผ่านมา สามารถได้รับการตอบรับจากคนตรงกลางที่ไม่ใช่แดงไม่ใช่เหลือง"
         
เขาทิ้งท้ายว่า วันนี้เสื้อแดงคงทำได้แค่สีสัน จะทำอะไรได้มากกว่านี้ และเป็นการส่งสัญญาณว่าเสื้อแดงยังอยู่ครบ ซึ่งทำได้แค่นี้ในตอนนี้จนกว่าการปฏิบัติการร่วมกันในทางสัญลักษณ์มันจะเกิดขึ้นจำนวนมาก และเมื่อนั้นจะเกิดพลังขนาดใหญ่และสร้างแรงกดดันไปที่รัฐ

 "ผมก็ชอบเสื้อเหลือง"

จากนามปากกาที่เริ่มต้นใช้แสดงความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ www.bangkok.com ก่อนจะไปสร้างตัวตนในห้องราชดำเนิน เว็บไซต์พันทิปดอทคอม จนชื่อของ "บก.ลายจุด"ติดตลาดในโลกไซเบอร์ด้วยสไตล์การเขียนที่หนักเสียดสี บนฐานข้อมูลที่แน่น
         
หนูหริ่ง อธิบายว่า ที่ใช้คำว่า บก. เพราะตำแหน่งเว็บมาสเตอร์ของเขามีหน้าที่ไม่ต่างจากบก. ส่วน "ลายจุด"นั้นไม่มีอะไรมาก แค่ตอนนั้นมีหนังเรื่อง 101 ดัลเมเชี่ยน  กำลังดัง ด้วยบุคลิกขำๆ ไม่คิดอะไรมากจึงหยิบมาใช้แบบบังเอิญ
         
แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ หนูหริ่งเคยไปทำละครอยู่กลุ่มมะขามป้อมมาเกือบ 3 ปี ก่อนจะออกมาเป็นเอ็นจีโออยู่มูลนิธิกระจกเงาเกือบ 20 ปี ควบคู่กับเป็นคอลัมนิสต์ให้นิตยสารบางฉบับ จนออกมาเปิดเว็บไซต์ 19sep.com และ 19sep.org และ nocoup.org ที่ถูก คมช.ไล่ปิดมาตามลำดับสุดท้ายทุกอย่างมาลงตัวที่ "โซเชียลเน็ตเวิร์ก"อย่าง facebook และ Twitter ที่หนูหริ่งบอกว่าเหมาะสมกับชีวิตที่สุด ไม่ต้องรับผิดชอบ ปิดก็เปิดใหม่ แถมยังคอมมูนิตีที่ใหญ่มาก แล้วไม่ใช่เฉพาะพวกเดียวกันเองซึ่งเป็นข้อจำกัด แต่เปิดให้มีปฏิสัมพันธ์กับคนที่มีความเห็นแตกต่างได้พร้อมยกตัวอย่างการสนทนาระหว่างเขากับเสธ.ปูเค็ม สองฝั่งที่สุดโต่งตอบโต้กันช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา จนทำให้คลื่นทวิตเตอร์ช่วงนั้นถึงกับร้อนระอุ
         
"คนเราชอบคุยสิ่งที่ต่างกัน แต่ความจริงทั้งเหลืองทั้งแดงเป็นประชากรที่แอ็กทีฟ สองสีนี่แหละที่จะผลักดันทำให้การเมืองเปลี่ยนการเมืองใหม่ไม่ได้เกิดจากเสื้อเหลือง หรือเสื้อแดง โดยลำพัง แต่เกิดจากการขับเคลื่อนของสองแรงที่ปะทะกัน
        
 ...ถ้าเหลืองไม่มีแดง และแดงไม่มีเหลือง ก็ไม่สามารถเกิดการเมืองใหม่ได้ คู่นี้ห้ามเลิกราเพียงแต่อย่าให้ฆ่ากัน ปัญหาอยู่ที่มันฆ่ากันเท่านั้นเองมันสนับสนุนให้อีกฝ่ายหนึ่งฆ่าอีกฝ่ายหนึ่ง ถ้ามันสามารถทะเลาะกันได้โดยที่ไม่ฆ่ากันวิเศษเลย ผมจะรักเสื้อเหลืองแบบเอาเป็นเอาตายเลย"
         
อีกด้านหนึ่งโซเชียลเน็ตเวิร์กยังเป็นชุมชนนักคิด ที่มีไอเดียเยอะเข้ามาแสดงความเห็นแลกเปลี่ยน เมื่อถึงจุดหนึ่งตกผลึกก็ช็อปได้เลยนี่ไม่ใช่ที่ทางของเขาที่เดียว แต่ถือเป็นตลาดนัดของคนเสื้อแดงเดินเพ่นพ่านเต็มไปหมด ด้วยความคิดข้อมูลจำนวนมากโดยเฉพาะในเฟซบุ๊กของเขา
         
บก.ลายจุด อธิบายว่า ปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนจากแดงที่เป็นรากหญ้ามาเป็น "คนชั้นกลาง" รุ่นใหม่ที่เข้ามามีส่วนร่วมกับแดงมากขึ้น เนื่องจากช่องทางสื่อสารผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก ที่มีอินเตอร์แอ็กทีฟตลอดเวลา บางทีมีคนที่ไม่ได้มาร่วมกิจกรรมแอบเข้ามาจนพัฒนาเกิดการคุยกันเสียงดังขึ้น

สัมภาษณ์พิเศษ: ถ่ายเลือดเสื้อแดง

"ผมคิดว่าคนพวกนี้เป็นเสรีชนใหม่ ยุคปี2010 เหมือนพวกฮิปปี้ สมัยก่อนพวก 5 ย. ผมยาวพี้กัญชา แต่ตอนนี้ผมเรียกว่าเป็น ฮิปปี้ดิจิตอล ผมคิดว่าพฤติกรรมเสรีชนในยุคนี้คือพวกที่มีความคิดเสรีนิยมสูงมาก โพสต์ข้อความในลักษณะเป็นคนชั้นกลางที่ต้องการเสรีภาพเสรีนิยมตัวพ่อ
        
 ...เวลาพูดอยู่บนฐานคิดเรื่องเสรีนิยมสูงมากพวกนี้ใช้เทคโนโลยี เสรีนิยมใหม่ ซึ่งจะมีบทบาทในการนำ เป็นพวกขับเคลื่อน เป็นคนกำหนดมาตรฐานใหม่ เป็นคนที่มีพลังขับเคลื่อนเรื่องนี้อีกหน่อยอาจไม่ได้เห็นภาพการเคลื่อนไหวแกนนำแบบเดิมๆ"
         
การขับเคลื่อนต่อจากนี้ "หนูหริ่ง" มองว่าอาจจะก้าวไปสู่เรื่องพรรคการเมือง แต่จะเป็นแบบขำๆ ไม่ใช่แบบเดิม จะออกแนวพรรคเพื่อไพร่ เป็นพรรคล้อเลียน มีสโลแกนว่า "ฟังกูอย่าเลือกกู"คอนเซปต์คือ ไม่ได้คิดอยากจะเข้าไปมีอำนาจทางการเมือง แต่เรามีประเด็นที่อยากจะสื่อถึงนักการเมือง อยากจะจัดปราศรัยใหญ่ของประชาชนและเชิญนักการเมืองมาฟังคำปราศรัยของประชาชน
         
"ผมอยากให้ประชาชนมีโอกาส จุดร่วมผมกับพันธมิตรฯ เป็นภาวะเดียวกันคือ ยอมรับว่าเบื่อการเมืองจริงๆ แต่จะเป็นการเมืองใหม่จริงๆ ผมชอบนะ เขามีหลายเรื่องก้าวหน้าผมเชื่อว่าเขามีฐานจากประเด็นปัญหาจริงมีฐานมวลชนที่เป็นปัญหากลุ่มชาวบ้าน ทำให้เข้าใจปัญหาชาวบ้านที่เป็นกลุ่มปัญหาได้ นี่เป็นจุดแข็งของเขา"

 

ข่าวล่าสุด

ไรเดอร์ ยังมีเวลา ETDA ขยายเวลาบังคับใช้กฎหมาย DPS ถึง 31 มี.ค.69