ย้อน3เหตุการณ์ กระสุนตก "เสื้อแดง" คสช.ระเบิดใส่...แต่พลาดเป้า!!
ครั้งนี้ ตำรวจจะปิดคดีนำไปสู่การลากตัวคนผิดมาดำเนินคดีได้หรือไม่ และเมื่อได้ตัวมาแล้ว คนที่ก่อเหตุจะมีประเด็นทางการเมืองจริงดังว่าหรือไม่
โดย...ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์
หากย้อนมองกลับไปบนความรุนแรงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองไทย ที่ต้นเหตุมาจาก “ระเบิด” ในห้วงระยะเวลา 2 ปีให้หลังในช่วงรัฐบาล คสช. แนวทางการสืบสวน หรือ สารตั้งต้นในการให้สัมภาษณ์จะพุ่งไปที่กลุ่ม“เสื้อแดง” ว่าเกี่ยวโยงในทุกเหตุการณ์ จากคำพูดที่ว่า ฝีมือจากกลุ่มการเมืองที่เสียประโยชน์ กลุ่มที่อยู่ตรงกันข้ามกับรัฐบาล
ล่าสุดเหตุระเบิดในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า หรือย้อนกลับไปที่หน้ากองสลากกินแบ่งรัฐบาล และที่หน้าโรงละครแห่งชาติ ก็ถูกโยงไปเป็นเรื่องของ "การเมือง" ตามที่รัฐบาลออกมาให้ข่าว กระทั่งพาดพิงไปถึง กลุ่มแดงฮาร์ดคอร์ นาม "โกตี๋" ที่ขณะนี้มีรายงานว่า หลบหนีอยู่ที่ประเทศลาว
อย่างไรก็ดี ผลลัพธ์ของการสืบสวนเหตุระเบิดครั้งสำคัญที่ผ่านมา กลับสวนทาง ที่รัฐบาล และ ฝ่ายความมั่นคง รีบออกมาให้ข่าว เพราะไม่ใช่กลุ่มการเมือง แต่เกี่ยวข้องกับ กลุ่มก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดภาคใต้ รวมถึง กลุ่มก่อการร้ายอูยกูร์ อย่างน้อย ก็ 3 เหตุการณ์
1.คาร์บอมบ์ ระเบิดห้างดังที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี
เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2558 ในลานจอดรถห้างเซ็นทรัล เฟสติวัล สมุย อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี คนร้ายใช้รถกระบะบรรทุกระเบิดแสวงเครื่อง ก่อนจุดระเบิดขึ้นมาสร้างความเสียหายอย่างหนักหน่วง และพลันที่ตำรวจลงพื้นที่สืบสวนหลังเกิดเหตุ ทิศทางการให้สังคมได้รับทราบความคืบหน้า มีการโยงไปถึงอดีตนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่เคยมีตำแหน่งทางการเมือง รวมถึงเคยทำงานทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทยว่าอาจเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเมื่อวันที่ 13 เม.ย. 2558 คล้อยหลังเพียง 3 วัน ว่า การจากสืบสวนขยายผลและตรวจสอบหลักฐานในหลายจุด พบข้อมูลที่เชื่อได้ว่ามีการจัดฉากหรือสนับสนุนให้มีการขโมยรถยนต์จากพื้นที่ อบต.ละแอ อ.ยะหา จ.ยะลา มาใช้ก่อเหตุ เพื่อหวังให้เชื่อมโยงว่าผู้ก่อเหตุมาจาก 3 จังหวัดชายแดนใต้ แต่ลักษณะการปล้นแตกต่างจากเหตุการณ์จริงที่มักเกิดขึ้น
"เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเชื่อมั่นว่าการก่อเหตุครั้งนี้ กลุ่มการเมืองอำนาจเก่าเป็นผู้บงการเพราะต้องการสร้างสถานการณ์ แต่เบี่ยงเบนประเด็นให้เจ้าหน้าที่เข้าใจผิด ขอยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ไม่หลงประเด็นแน่นอน" รองโฆษกรัฐบาล ณ เวลานั้น กล่าวยืนยัน
ที่สุด หลังใช้เวลาสอบสวนไม่ถึงเดือน พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ณ ขณะนั้น ได้เปิดเผยว่า ศาลจังหวัดยะลาได้อนุมัติออกหมายจับผู้ต้องสงสัยคาร์บอมบ์ ลานจอดรถห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล เกาะสมุยเพิ่มเติม จากที่ออกจับแล้ว 3 คน ประกอบด้วย นายอัสมีน กาเต็มมาดี อายุ 27 ปี อ.เมือง จ.ปัตตานี, นายฮากีม ดอเลาะ อายุ 31 ปี อ.เมือง จ.ปัตตานี, นายมูหาหมัดยากี สาและ อายุ 34 ปี ต.บันนังสะตา อ.บันนังสะตา จ.ยะลา, นายอับดุลเลาะ สาแม อายุ 25 ปี อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี และ นายอัมมัร แวดาราแม อายุ 27 ปี อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี รวมถึง นายอับดุลรอนิง ดือราเม หรือ บังยี อายุ 51 ปี เจ้าของเต็นท์จำหน่ายรถยนต์มือสอง จ.ยะลา
2.ระเบิดราชประสงค์ ใจกลางกรุงเทพมหานคร
ค่ำวันที่ 17 ส.ค.2558 เสียงดังสนั่นจากระเบิดบริเวณสี่แยกราชประสงค์ ใกล้กับศาลท้าวมหาพรหม ใจกลางกรุงเทพมหานคร ระเบิดแสวงเครื่องหนัก 3 กิโลกรัม รัศมีทำลายล้างประมาณ 100 เมตร
ครั้งนั้น พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล กล่าวเมื่อวันที่ 17 ส.ค. 2558 หลังเกิดเหตุว่า การวางระเบิดเป็นการกระทำของผู้ไม่หวังดี แต่เร็วเกินไปที่จะสรุปว่าเป็นการกระทำจากบุคคลใด แต่แนวโน้มน่าจะเป็นผู้เสียประโยชน์ทางการเมืองกลุ่มเดิม ๆ เพื่อทำลายบรรยากาศของประเทศ
“แนวโน้มมีความเป็นไปได้ว่า น่าจะเป็นกลุ่มผู้เสียประโยชน์เดิม ๆ ที่ต้องการสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในประเทศ ทำลายบรรยากาศต่าง ๆ ของประเทศเราที่กำลังจะดีขึ้น”พล.ต.สรรเสริญ กล่าว
ช่วงนั้น ตำรวจ และรัฐบาลเมื่อเริ่มต้นสืบสวนหาคนร้าย พร้อมกับให้ข้อมูลว่ากลุ่มก่อเหตุคือกลุ่มเดิมๆ ที่เสียผลประโยชน์ทางการเมือง กระทั่งต่อมาตำรวจได้ขอศาลอนุมัติหมายจับอ๊อด พยุงวงศ์ หรือยงยุทธ พบแก้ว ที่มีเบาะแสว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดครั้งนี้ และพบว่ายังเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่สมานเมตตาแมนชั่น จ.นนทบุรีเมื่อปี 2553 มากกว่านั้น คือพบว่านายอ๊อด ยังเกี่ยวข้องกับการ์ดกลุ่มคนเสื้อแดง
กระทั่งการสืบสวนที่ลึกและเข้มข้นมากขึ้น ทำให้เห็นว่าต้นตอของคนร้ายมาจากต่างชาติ ที่เข้ามาก่อเหตุสร้างสถานการณ์เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งของกลุ่มมุสลิมชาวอุยกูร์ มีการส่งฟ้อง นายอาเด็ม คาราดัก หรืออีกชื่อหนึ่งคือบิลาล โมฮัมเหม็ด จำเลยที่หนึ่ง และนายไมไรลี ยูซุฟู จำเลยที่สอง ต่อศาลเรียบร้อย โดยศาลทหารกรุงเทพ ได้สืบพยานโจทก์นัดแรกเมื่อปลายปี 2559 ในคดีนี้ หลังจากมีการเลื่อนการสืบพยานมาสองครั้ง ส่วนนายอ๊อด ที่ถูกโยงไปยังกลุ่มเสื้อแดง จนถึงขณะนี้สังคมก็ยังไม่เคยได้เห็นหน้า
3.ปูพรมระเบิด 7 จังหวัดภาคใต้ ก่อเหตุความวุ่นวาย
เหตุการณ์ครั้งนี้ เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 11-12 ส.ค.2559 เมื่อคนร้ายปูพรหมทั้งวางระเบิดแสวงเครื่อง และวางเพลิงในหลายจุดในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่เชิงสัญลักษณ์ และเป็นพื้นที่ท่องเที่ยว ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ และคล้อยหลังเพียงแค่ 1 วัน ชื่อของกลุ่มคนเสื้อแดงถูกสังคมโยงเข้ามาว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องอีกครั้ง กับเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น
ตอนนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวเมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2559 หลังเกิดได้ 1 สัปดาห์ว่า ฝ่ายความมั่นคงชี้แจงมาแล้วมีอยู่ 3 ประเด็น ประเด็นแรกคือพรรคแนวร่วมปฏิวัติเพื่อประชาธิปไตย(นปป.) ที่ต้องไปดูว่ามีการละเมิดกฎหมายอะไรบ้าง จะเกี่ยวไม่เกี่ยวก็ว่ากันอีกที สอง เหตุการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีเหตุการณ์อยู่แล้วในปัจจุบันต้องไปดูว่าเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ แต่ไม่ใช่กรณีที่ว่าจะขยายขัดแย้งมานอกพื้นที่และสามคือการเมืองที่ไปขยายความขัดแย้งในประเด็นร่างรัฐธรรมนูญในเรื่องการศึกษาที่ทำให้มีความไม่เข้าใจกัน มีคนฉวยโอกาสตรงนี้
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า เชื่อว่าเหตุระเบิดที่ปัตตานี ไม่มีส่วนเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดภาคใต้ 7 จังหวัด ส่วน พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงเมื่อวันที่ 12 ส.ค. 2559 ทันทีว่า กรณีเกิดเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จ.ตรัง ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี และพังงา ไม่ใช่การก่อการร้าย แต่เป็นการก่อวินาศกรรมเฉพาะจุด และยืนยันว่า ประเทศไทยไม่มีความขัดแย้งเกี่ยวกับเชื้อชาติ ศาสนา ดินแดน ชนกลุ่มน้อย หรือกลุ่มไอซิส และไม่เชื่อมโยงกับเหตุความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เหตุดังกล่าวเป็นความขัดแย้งภายในประเทศและเป็นการสร้างสถานการณ์ก่อกวน
ห้วงเวลาเดียวกัน แกนนำกลุ่มนปช.ต้องออกมาปกป้องตนเอง ณ เวลานั้น ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเหตุที่เกิดขึ้น และสวนกลับไปยังรัฐบาลของคณะรักษาความสงบแห่งชาติในทำนองว่าสุดจะทนกับการถูกโยนความผิดในทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรง กระทั่งทิศทางการสืบสวนที่ชัดเจนมากขึ้น น้ำหนักของการเดินคดีถูกโยนไปที่กลุ่มก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้อีกระลอก
หลังการสอบสวนใช้เวลาหลายเดือน ปรากฎ ทิศทางชัดว่าเป็นกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ โดยเมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2560 หรือไม่กี่เดือนมานี้ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ด้านความมั่นคงในฐานะหัวหน้าชุดสืบสวนสอบสวนคดีกลุ่มคนร้าย ลอบวางระเบิดและระเบิดเพลิงในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ นำคณะพนักงานสอบสวน เดินทางพบอัยการศาลทหาร เพื่อส่งสำนวนที่พนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาก่อเหตุระเบิดรวม 16 สำนวน ส่งให้อัยการศาลทหารเพื่อมีความเห็นทางคดี
พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า พนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนรวม 16 คดี 16 สำนวน พร้อมความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาจำนวน 10 คนในคดีลอบวางระเบิด 7 จังหวัดภาคใต้ ส่งให้อัยการทหาร โดยในจำนวนผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับทั้งหมด 10 คน จับกุมได้แล้ว 2 คน คือ นายมูฮัมหมัด มูฮิ ผู้ต้องหาร่วมกันวางระเบิดบริเวณหาดป่าตอง จ.ภูเก็ต และ นายอับดุลกอเดร์ สาแล๊ะ ผู้ต้องหาร่วมกันวางระเบิดและระเบิดเพลิงที่ จ.ตรังขณะนี้ยังเหลือผู้ต้องหาอีก 8 คนที่ยังหลบหนีอยู่ โดยผู้ต้องหากลุ่มนี้ล้วนมีภูมิลำเนาเดิมอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และแต่ละคนก็มีหมายจับติดตัวหลายหมาย
พล.ต.อ.ศรีวราห์ ระบุต่อว่า ผู้ต้องหาทั้งหมดยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ พร้อมกันนี้ยังได้ยื่นขออนุมัติศาลทหาร ออกหมายจับ นายยูโซะ แมะตีเมาะ พร้อมพวกรวม 3 รายที่ร่วมกันวางระเบิดในตลาดไชน่าทาวน์ หาดป่าตอง ซึ่งเป็นเหตุที่เจ้าหน้าที่ไม่ทราบมาก่อน แต่ได้ข้อมูลจากการสอบปากคำ นายมูฮัมหมัด มูฮิ ผู้ต้องหาที่จับกุมได้แล้ว และเมื่อส่งกำลังไปตรวจค้น ก็พบระเบิดแบบเพาเวอร์แบงก์ ถูกซุกซ่อนไว้ในตลาดจริง จึงออกหมายจับเพิ่มเติมตามคำซัดทอดของนายมูฮัมหมัด
ทั้ง 3 เหตุการณ์ระเบิดที่เขย่าขวัญคนไทย ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนเสื้อแดงถูกหยิบยกเข้ามาพัวพันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในฐานะที่ถูกเปรียบเสมือนเป็นศัตรูทางการเมืองของคสช.ในขณะนี้ เหตุระเบิดล่าสุดที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า รวมถึงหน้ากองสลากฯ และหน้าโรงละครแห่งชาติ เป็นอีกครั้งที่รัฐบาล โยงว่าฝีมือผู้ก่อเหตุล้วนเป็นกลุ่มเดียวกัน และมีเป้าหมายทางการเมืองชัดเจน
ต้องจับตาดูว่าครั้งนี้ ตำรวจจะปิดคดีนำไปสู่การลากตัวคนผิดมาดำเนินคดีได้หรือไม่ และเมื่อได้ตัวมาแล้ว คนที่ก่อเหตุจะมีประเด็นทางการเมืองจริงดังว่าหรือไม่ โดยเฉพาะหลักฐานต่างๆ ที่ผู้นำรัฐบาลและ ผบ.ตร. มั่นใจว่าสาวถึงแน่นอน หรือจะเป็นเพียง "แพะ"ทางการเมือง????


