posttoday

"รื้อระบบรัฐ หนทางพัฒนาชีวิตแรงงานไทย" ถอดบทเรียน30ปี วิไลวรรณ แซ่เตีย

29 พฤษภาคม 2560

สะท้อนชีวิตและสภาพปัญหาของแรงงานไทย ผ่านสายตาอดีตประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ผู้คร่ำหวอดด้านแรงงานมายาวนานกว่า 30 ปี

โดย…วิรวินท์ ศรีโหมด

วันแรงงานของทุกปี เหล่าลูกจ้างมักเรียกร้องให้รัฐบาลยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในเรื่องสวัสดิการ โครงสร้างค่าจ้างที่เหมาะสมและสอดคล้องกับค่าครองชีพ ตลอดจนระบบประกันสังคมที่เท่าเทียม โปร่งใส และเข้าถึงได้ไม่ยาก

ทว่าปีแล้วปีเล่า ข้อเสนอเหล่านี้กลับกลายเป็นคำเรียกร้องอมตะที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังเสียที

โพสต์ทูเดย์มีโอกาสพูดคุยกับ วิไลวรรณ แซ่เตีย อดีตประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) หนึ่งในผู้เรียกร้องในประเด็นสิทธิสวัสดิการของแรงงานมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี รวมทั้งเป็นอดีตเจ้าของรางวัลสันติภาพและความยุติธรรม ชี ฮัก ซุน (ครั้งที่ 17) รางวัลสำหรับผู้ที่มีบทบาทในการต่อสู้เรื่องสันติภาพและความยุติธรรมในเอเชีย

วันนี้แม้เธอจะยุติบทบาทด้านผู้นำแรงงานไปแล้ว แต่ประสบการณ์ที่พบมาตลอดชีวิตก็สะท้อนชัดถึงหลากหลายปัญหาที่แรงงานไทยต้องเผชิญ

หนทางก้าวข้าม ระบบรัฐ เต่าล้านปี

วิไลวรรณ เปิดบทสนทนาว่า ปัจจุบันผู้ใช้แรงงานมีความรู้เรื่องสิทธิและกฎหมายเพิ่มมากขึ้นกว่าอดีต มีการรวมตัวจัดตั้งสหภาพแรงงานเพื่อต่อรองหรือเรียกร้องสิทธิประโยชน์จากนายจ้างมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามในทางกลับกันฝั่งนายจ้างก็มีความพยายามหลบเลี่ยงหรือหากฎระเบียบข้อบังคับมาตีกรอบลูกจ้างเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ภาครัฐก็รับฟังเสียงของผู้ใช้แรงงานน้อยกว่าเมื่อก่อน

“การเคลื่อนไหวของผู้ใช้แรงงานในสมัยก่อน สามารถผลักดันให้รัฐบาลออกกฎหมายสำคัญต่างๆ ได้ เช่น ประกันสังคมที่คุ้มครองตั้งแต่เกิดจนเสียชีวิตหรือกฎหมายชราภาพ แต่ปัจจุบันแม้จะพยายามเรียกร้องให้ปรับปรุงกฎหมายให้มีความทันสมัย เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น แต่ก็ไม่เป็นผล”

วิไลวรรณ บอกต่อว่า นอกจากไม่เป็นผลแล้ว กฎหมายบางข้อยังไม่สามารถใช้ได้ในทางปฏิบัติจริง เช่น เมื่อมีการเลิกจ้าง ตามกฎหมายระบุว่า นายจ้างต้องจ่ายเงินค่าชดเชยให้ลูกจ้าง แต่ความเป็นจริงหากนายจ้างเกิดบอกว่าไม่มีเงิน ขั้นตอนการเรียกร้องสิทธิตามกฎหมายก็มีความยุ่งยากหลายขั้นตอน ตั้งแต่กรอกเอกสารยื่นขอค่าชดเชย กระบวนการตรวจสอบทรัพย์และหนี้สินว่านายจ้างมีอะไรบ้าง จากนั้นต้องเข้าสู่กระบวนการประเมินทรัพย์ และพิจารณาว่าใครควรเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่เหลือ ซึ่งสุดท้ายลูกจ้างจะอยู่อันดับท้ายๆ ในการได้เงินชดเชย

ส่วนระบบประกันสังคมซึ่งเป็นกองทุนใหญ่ที่สุดของประเทศ ยังมีกฎหมายหลายมาตราที่ไม่เป็นไปตามประสงค์ของผู้ประกันตนในฐานะเจ้าของเงิน แรงงานเหล่านี้ต้องการให้เงินที่เสียไปในแต่ละเดือนย้อนกลับมาดูแลส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้ดีกว่าที่เป็น รวมไปถึงต้องการมีส่วนร่วมในการตรวจสอบระบบบริหารงบประมาณด้วย แต่ในความเป็นจริงคณะกรรมการส่วนใหญ่ในระบบนั้น มาจากภาครัฐ ทำให้การบริหารใช้จ่ายเงินยังมีความซับซ้อน ไม่ทันสมัย และยากต่อการเปิดเผย

“เงินประกันสังคมมีสูงถึงหลักล้านล้านบาท แต่ในการบริหารจัดการนั้นมีปัญหามาก เช่น กรณีเจ็บป่วยถามว่า มีกระบวนการตรวจสอบหรือไม่ คนป่วยแต่ละปีเพิ่มขึ้นหรือลดลง ค่าใช้จ่ายต่อหัวควรเพิ่มขึ้นหรือไม่ กรณีขอรับเงินทดแทนการขาดรายได้ควรจะเพิ่มมากกว่านี้ไหม  เงินสงเคราะห์บุตรปัจจุบันให้ 6 ปี ต้องขยายเพิ่มเติมหรือไม่ และกระบวนการเลือกตั้งคณะกรรมการที่อยากให้ผู้ประกันตนเข้ามามีส่วนร่วมโดยตรง เรื่องเหล่านี้ก็ยังไม่เกิดขึ้น”

ส่วนการรักษาพยาบาลโดยใช้สิทธิประกันสังคม วิไลวรรณ เสนอว่าหาก สปส.ไม่มีประสิทธิภาพดูแลผู้ประกันตน เทียบเท่าสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่บริหารจัดการดูแลเรื่องบัตรทองได้ดีนั้น ก็ควรให้ สปสช. ดูแลแทนเพราะการทำงานขององค์กรเหล่านี้ควรอยู่บนหลักพื้นฐานเพื่อทำให้ผู้ประกันตนได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด

อดีตประธาน คสรท. บอกว่าประกันสังคมเป็นหลักการและแนวคิดที่ดี แต่การบริหารจัดการที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ตกอยู่ใต้อำนาจของฝ่ายการเมือง ส่งผลให้การบริหารไม่โปร่งใส ไม่มีความทันสมัย และเป็นเหตุผลให้ผู้ประกันตนไม่รู้สึกมีส่วนร่วมกับเงินส่วนนี้ 

“เคยสอบถามว่า ปัจจุบันเงินรัฐที่ค้างอยู่ในระบบประกันสังคมเหลือเท่าไหร่ ก็ไม่ได้รับการเปิดเผย หรือแม้แต่กระทรวงแรงงานทุกวันนี้ก็ยังนำเงินไปใช้จัดงานเลี้ยงต่างๆ ที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์อยู่เลย”

วิไลวรรณ ชี้ว่า ถึงเวลาที่ผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องสั่งการเอาจริงเอาจัง เปลี่ยนแปลงระบบให้มีความทันสมัยและติดตามปัญหาที่เกิดขึ้น ที่สำคัญอยากให้หน่วยงานรัฐกับนายจ้างยุติระบบประนีประนอมได้แล้ว ไม่เช่นนั้นจะทำให้กลุ่มแรงงานรู้สึกเบื่อหน่ายและเอือมระอา 

ขอแนะนำว่า ภาครัฐควรนำร่างข้อเสนอของภาคแรงงานที่ได้มีการพิจารณาศึกษา รับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายมาใช้เปลี่ยนแปลงพัฒนาระบบบริหาร ตั้งแต่ระบบคณะกรรมการประกันสังคมให้มาจากการเลือกตั้งตรงของผู้ประกันตนเพื่อความโปร่งใส่ พร้อมกับเปิดโอกาสให้ผู้ประกันตนเข้ามามีอำนาจมากขึ้น เพื่อที่ระบบประกันสังคมจะได้ทันสมัยและพัฒนา ทั้งหมดจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ยังไม่กระตือรือร้นอยากจะเปลี่ยนแปลง

"รื้อระบบรัฐ หนทางพัฒนาชีวิตแรงงานไทย" ถอดบทเรียน30ปี วิไลวรรณ แซ่เตีย วิไลวรรณ กำลังถ่ายทอดชีวิตของแรงงานไทยจากอดีต-ปัจจุบัน

แรงงานคนยังจำเป็นในยุคหุ่นยนต์

ในการปรับตัวของแรงงานไทยเพื่อเตรียมก้าวเข้าสู่การพัฒนาทางเทคโนโลยีดิจิตอลยุค 4.0  อดีตประธาน คสรท. เชื่อว่า ทุกสถานประกอบการคงไม่ได้นำเครื่องจักรเข้ามาทดแทนแรงงานทั้งหมด เพราะอุตสาหกรรมไทยยังจำเป็นต้องใช้แรงงานคนควบคู่กับเครื่องจักร เช่น งานเสี่ยงอันตราย งานที่เกี่ยวกับสารเคมียังจำเป็นต้องใช้เครื่องจักร 

อย่างไรก็ดี หากจำเป็นต้องนำเครื่องจักรเข้ามาใช้จริง หน่วยงานรัฐ นายจ้าง ลูกจ้างต้องร่วมกันออกแบบระบบให้เหมาะสมเพื่อให้คนและเครื่องจักรทำงานร่วมกันได้ และหากจำเป็นต้องนำคนออก ต้องคุยกันให้ชัดเจนเพื่อให้แรงงานได้เตรียมตัวล่วงหน้า เช่น พิจารณาจากประสบการณ์การทำงาน หรือความจำเป็นของแต่ละหน้าที่เพื่อให้เกิดการเตรียมพร้อม แต่หลักสำคัญต้องคำนึงถึงความรู้สึกดีต่อกันระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง เพราะส่วนตัวมองว่าความรู้สึกเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนา

"รื้อระบบรัฐ หนทางพัฒนาชีวิตแรงงานไทย" ถอดบทเรียน30ปี วิไลวรรณ แซ่เตีย

ปัญหาแรงงานรัฐบาลต้องจริงจัง

วิไลวรรณ มองการบริหารด้านแรงงานของรัฐบาลชุดนี้ว่ายังไม่มีความชัดเจน เพราะการที่รัฐบาลทหารเข้ามาแบบชั่วคราวจะมีลักษณะการทำงานเฉพาะตัว บางครั้งไม่สามารถจัดการให้ชัดเจนได้หมดทุกเรื่อง มีเพียงเรื่องแรงงานต่างด้าวข้ามชาติที่ชัดเจนมากในช่วงที่ผ่านมา   

อดีตผู้นำแรงงาน เล่าว่า ขณะนี้ชีวิตของผู้ใช้แรงงานยังไม่มีความสุขในด้านเศรษฐกิจ เพราะความไม่แน่นอนของแต่ละโรงงานที่ไม่รู้เมื่อไหร่จะปิดตัวลง ส่วนเรื่องการปรับขึ้นค่าจ้างแม้วันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา จะปรับขึ้นค่าจ้างบางพื้นที่ในอัตรา 5 ถึง 10 บาท แต่มองว่าเป็นการปรับโครงสร้างที่ไม่มีความชัดเจน เพราะการปรับค่าจ้างต้องทำให้เท่ากันทั่วประเทศ ส่วนการปรับอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงานที่เพิ่มขึ้นมา ความเป็นจริงในทางปฏิบัติหากแรงงานไม่ได้ตามที่กำหนด ก็คงไม่มีใครกล้าแจ้งกระทรวงแรงงาน เพราะอาจถูกไล่ออกได้

“รัฐบาลควรทำโครงสร้างการปรับขึ้นค่าจ้างให้เท่ากันทั่วประเทศ จากนั้นออกกฎหมายกำหนดโครงสร้างค่าจ้างเพื่อให้ชัดเจนในทางปฏิบัติ เช่น เมื่ออายุงานครบตามกำหนดควรได้รับการเพิ่มเงินหรือสวัสดิการต่างๆพร้อมกับต้องมีนโยบายควบคุมค่าครองชีพ เรื่องพวกนี้อยู่ที่กระทรวงแรงงานจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ไม่ใช่ประนีประนอมกับนายจ้างเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นลูกจ้างเสียเปรียบไปตลอด”

ทั้งหมดนี้คือข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจาก อดีตผู้นำแรงงานและเจ้าของรางวัลสันติภาพและความยุติธรรม ชี ฮัก ซุน ที่ต้องการให้กลุ่มแรงงานไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

"รื้อระบบรัฐ หนทางพัฒนาชีวิตแรงงานไทย" ถอดบทเรียน30ปี วิไลวรรณ แซ่เตีย

 

"รื้อระบบรัฐ หนทางพัฒนาชีวิตแรงงานไทย" ถอดบทเรียน30ปี วิไลวรรณ แซ่เตีย วิไลวรรณ วันนี้ยุติบทบาทด้านแรงงานและอาชีพสาวโรงงานเมืองกรุงกลับไปเปิดร้านค้าเล็กๆ ที่บ้านเกิด จ.ขอนแก่น

 

"รื้อระบบรัฐ หนทางพัฒนาชีวิตแรงงานไทย" ถอดบทเรียน30ปี วิไลวรรณ แซ่เตีย

ข่าวล่าสุด

ก.ล.ต. มีคำสั่งอายัดทรัพย์สิน JKN หลังศาลยกคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ