ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของอังกฤษ
สถาบันพระมหากษัตริย์ของอังกฤษมีพระราชภาระต่างๆ ตามกฎหมายที่ต้องปฏิบัติ รวมทั้งการปฏิบัติพระราชภาระในพระราชพิธีต่างๆ และการเป็นตัวแทนประชาชาติ นักวิชาการอังกฤษ อธิบายว่า เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นส่วนหนึ่งของกลไกทางกฎหมายของรัฐบาล จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่องค์พระมหากษัตริย์จะต้องทรงพร้อมเสมอที่จะปฏิบัติพระราชภาระต่างๆ ดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามความเป็นจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็น “มนุษย์” ย่อมมีช่วงเวลาที่ทรงบริหารพระราชภารกิจไม่ได้ จะด้วยพระประชวรหรือไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร จึงทำให้การที่องค์พระมหากษัตริย์จะต้องทรงพร้อมเสมอที่จะปฏิบัติพระราชภาระต่างๆ ดังกล่าวนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้และด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เองที่ Sir David Keir ได้กล่าวไว้ว่า “กฎหมายจำเป็นจะต้องหา...กลไกต่างๆ เพื่อการประนีประนอมสิ่งที่ดำรงอยู่ในฐานะที่เป็นหลักการนามธรรมที่ผูกติดอยู่กับสถานะขององค์พระมหากษัตริย์กับความไม่สะดวกในทางปฏิบัติอันเป็นผลมาจากข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ดำรงตำแหน่งนี้เป็นมนุษย์ที่อาจมีความเป็นไปได้ที่จะมีโอกาสที่จะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้”ก่อนหน้า ค.ศ. 1937 อังกฤษออกกฎหมายเกี่ยวก
สถาบันพระมหากษัตริย์ของอังกฤษมีพระราชภาระต่างๆ ตามกฎหมายที่ต้องปฏิบัติ รวมทั้งการปฏิบัติพระราชภาระในพระราชพิธีต่างๆ และการเป็นตัวแทนประชาชาติ นักวิชาการอังกฤษ อธิบายว่า เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นส่วนหนึ่งของกลไกทางกฎหมายของรัฐบาล จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่องค์พระมหากษัตริย์จะต้องทรงพร้อมเสมอที่จะปฏิบัติพระราชภาระต่างๆ ดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามความเป็นจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็น “มนุษย์” ย่อมมีช่วงเวลาที่ทรงบริหารพระราชภารกิจไม่ได้ จะด้วยพระประชวรหรือไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร จึงทำให้การที่องค์พระมหากษัตริย์จะต้องทรงพร้อมเสมอที่จะปฏิบัติพระราชภาระต่างๆ ดังกล่าวนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้
และด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เองที่ Sir David Keir ได้กล่าวไว้ว่า “กฎหมายจำเป็นจะต้องหา...กลไกต่างๆ เพื่อการประนีประนอมสิ่งที่ดำรงอยู่ในฐานะที่เป็นหลักการนามธรรมที่ผูกติดอยู่กับสถานะขององค์พระมหากษัตริย์กับความไม่สะดวกในทางปฏิบัติอันเป็นผลมาจากข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ดำรงตำแหน่งนี้เป็นมนุษย์ที่อาจมีความเป็นไปได้ที่จะมีโอกาสที่จะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้”
ก่อนหน้า ค.ศ. 1937 อังกฤษออกกฎหมายเกี่ยวกับผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นกรณีเฉพาะเป็นครั้งๆ ไป แต่เมื่อถึง ค.ศ. 1937 อังกฤษออกพระราชบัญญัติว่าด้วยผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่เรียกว่า “The Regency Act 1937” ซึ่งเป็นกฎหมายที่ออกมาหลังจากอังกฤษเปลี่ยนแปลงการปกครองมาแล้วเป็นเวลา 249 ปี โดยวัตถุประสงค์ในการออกกฎหมายนี้ก็เพื่อวางระเบียบที่ครอบคลุมต่อเงื่อนไขทั้งหมดที่องค์พระมหากษัตริย์อาจจะทรงบริหารพระราชภารกิจไม่ได้ และ ดังที่กล่าวไปแล้วว่า ก่อนหน้ากฎหมายฉบับนี้ที่พยายามที่จะกำหนดให้มีเนื้อหาที่ครอบคลุมกรณีต่างๆ ที่องค์พระมหากษัตริย์จะทรงบริหารพระราชภารกิจไม่ได้ อังกฤษใช้วิธีออกกฎหมายกำหนดการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นกรณีๆ ไป
หลัง ค.ศ. 1937 อังกฤษบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้เป็นเวลาเกือบ 70 ปี โดยครอบคลุม 2 รัชสมัยขององค์พระมหากษัตริย์ของอังกฤษ นั่นคือ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 และสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 กฎหมายนี้ได้รับการแก้ไขเพิ่มเติม 2 ครั้ง นั่นคือ ในปี ค.ศ. 1943 และ ค.ศ. 1953
ณ เวลานี้ สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 ทรงมีพระชนมพรรษา 91 พรรษา และองค์รัชทายาทคือเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ พระชนมายุ 68 พรรษา และหากสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 ทรงเจริญพระชนมพรรษายิ่งยืน นานเฉกเช่นเดียวกับสมเด็จพระราชมารดาของพระองค์ องค์รัชทายาทเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์อาจจะทรงพระชนมายุในวัย 70 กว่าพรรษาในคราวที่ทรงเสด็จขึ้นครองราชย์ และจะทรงครองราชย์ด้วยพระชนมายุที่มากยิ่ง จากพระชนมายุของทั้งสองพระองค์ ย่อมหมายถึงการจะต้องเตรียมการให้พร้อมในกรณีที่ทรงบริหารพระราชภารกิจไม่ได้
ที่สำคัญคือ แบบแผนการปฏิบัติและกระบวนการต่างๆ ที่อาจจะเคยเป็นที่ยอมรับได้ก่อนหน้านี้ในประวัติศาสตร์ของกฎหมายรัฐธรรมนูญของอังกฤษก็อาจจะไม่เหมาะสมในปัจจุบัน สาธารณชนในอังกฤษในปัจจุบันคาดหวังการปรากฏพระองค์ขององค์พระมหากษัตริย์ในฐานะสถาบัน ได้เห็นการทรงบริหารพระราชกรณียกิจต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ของสถาบันพระมหากษัตริย์อังกฤษ
นักวิชาการด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญของอังกฤษมีความเห็นว่า สิ่งต่างๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับการตระเตรียมจัดแจงโดยข้าราชสำนัก หรือรัฐมนตรี ในกรณีที่ทรงบริหารพระราชภารกิจไม่ได้ในอดีตอาจจะ ไม่สามารถกระทำได้ในปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะการติดตามข่าวของสื่อมวลชนและความกระหายอยากรู้ที่ไม่มีขีดจำกัดต่อเรื่องราวของพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ดังนั้น นักวิชาการด้านกฎหมายของอังกฤษจึงเห็นสมควรที่จะมีการศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลงแบบแผนการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของอังกฤษ
จากการศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองอังกฤษ เหตุที่พระมหากษัตริย์จะทรงบริหารพระราชภารกิจไม่ได้ ได้แก่ ประชวรหรือยังทรงพระเยาว์อยู่ หรือในกรณีที่จะไม่ทรงประทับอยู่ในราชอาณาจักร ซึ่งเหตุผลทั้ง 3 ข้อนี้สามารถเกิดขึ้นกับคนทั่วไปด้วยเช่นกัน เช่น เจ็บป่วยไม่สามารถทำงานได้ หรือยังไม่บรรลุนิติภาวะไม่สามารถทำสัญญากฎหมายได้ด้วยตัวเอง หรือ ไม่อยู่ในที่
และอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า ก่อนหน้าพระราชบัญญัติว่าด้วยผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของอังกฤษมีได้มีกฎหมายที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ทรงบริหารพระราชภารกิจไม่ได้ แต่ใช้วิธีการออกกฎหมายในลักษณะเฉพาะกิจว่าเป็นกรณีๆ ไป คำถามที่เกิดขึ้นคือ อะไรคือเหตุผลที่อังกฤษไม่ออกกฎหมายที่ครอบคลุมในช่วงเวลาก่อนหน้าที่จะมีพระราชบัญญัติว่าด้วยผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์? ทำไมไม่มีการจินตนาการเตรียมการถึงความเป็นไปได้ในกรณีต่างๆ เท่าที่จะเป็นไปได้ที่พระมหากษัตริย์จะทรงบริหารพระราชภารกิจไม่ได้? เพราะการไม่จินตนาการเตรียมการไว้ล่วงหน้านี้ดูจะขัดกับหลักการ “องค์พระมหากษัตริย์ไม่อาจจะมีความรับผิดใดๆ” หรือ “The king can do no wrong” ไม่ว่าหลักการ “The king can do no wrong” นี้จะอยู่ภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญก็ตาม
นักวิชาการด้านกฎหมายของอังกฤษตั้งข้อสังเกตว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าในช่วงก่อนหน้าการปฏิวัติทั้งสองครั้งของอังกฤษ คือ สงครามกลาง เมืองอังกฤษที่ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ค.ศ. 1649 และครั้งที่ 2 คือ การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ ค.ศ. 1688 องค์พระมหากษัตริย์ของอังกฤษในสมัยนั้นปฏิเสธที่จะยอมรับว่ามีความเป็นไปได้ที่พระมหากษัตริย์ จะทรงบริหารพระราชภารกิจไม่ได้ เพราะนั่นคือเท่ากับเปิดโอกาสให้เกิดความรู้สึกถึงความอ่อนแอในการปกครองของพระองค์ โดยเฉพาะในช่วงที่อังกฤษยังปกครองภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่พระมหากษัตริย์ทรงครองราชย์บนพื้นฐานของความเป็นไปได้ในการใช้กำลังในการบังคับใช้กฎหมายตามพระราชอำนาจของพระองค์?


