การุณยฆาตของวัชรยาน
พุทธศาสนาแบบทิเบต หรือฝ่ายวัชรยานมีพิธีกรรมที่ซับซ้อนหลากหลาย คนนอกนิกายอาจดูแล้วงุนงงสับสนว่าพุทธศาสนา “แท้ๆ”
โดย...กรกิจ ดิษฐาน
พุทธศาสนาแบบทิเบต หรือฝ่ายวัชรยานมีพิธีกรรมที่ซับซ้อนหลากหลาย คนนอกนิกายอาจดูแล้วงุนงงสับสนว่าพุทธศาสนา “แท้ๆ” มีอย่างนี้ด้วยหรือ? ซึ่งหากจะตอบคำถามนี้คงต้องอาศัยหน้าหนังสือพิมพ์มากโข แต่ในที่นี้จะอธิบายนัยเพียงส่วนหนึ่งของพิธีกรรมฝ่ายวัชรยาน ที่เกี่ยวข้องกับจริยศาสตร์ร่วมสมัย คือประเด็นเรื่องการฆ่าด้วยความการุณย์
ในสารบบพิธีกรรมวัชรยานทิเบตมีพิธีกรรมหนึ่งเรียกว่า “ระบำกะโหลก” นอกจากจะมีนัยทางธรรมแล้ว ยังมีความเกี่ยวข้องกับพระปัทมสมภพ หรือปัทมสัมภวะมหาคุรุผู้ประกาศพุทธศาสนาในทิเบตอีกด้วย ตำนานเล่าว่า พระเจ้าอินทรภูติพระบิดาเลี้ยงได้สละราชบัลลังก์ให้พระปัทมสมภพ แต่ท่านไม่ไยดีในโลกธรรม ทั้งยังประพฤติตนให้ผู้คนฉงนฉงายอยู่ตลอดเวลา
วันหนึ่งหลังจากสละราชบัลลังก์แล้วท่านปีนขึ้นไปร่ายรำเหนือหลังคาพระราชวัง มือข้างหนึ่งถือวัชระ ข้างหนึ่งถือตรีศูล ระหว่างที่กำลังร่ายรำอยู่นั้นท่านทำวัชระหล่นลงมา ปักลงบนศีรษะบุตรชายอำมาตย์ผู้หนึ่ง ส่วนตรีศูลหล่นลงมาปักหัวใจของผู้เป็นแม่เด็ก จนขาดใจตายคาที่ทั้งคู่
พระเจ้าอินทรภูติซึ่งทรงขุ่นเคืองพระทัยที่พระโอรสสละราชสมบัติเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ยิ่งทรงพระพิโรธหนักขึ้น จึงมีโองการเนรเทศให้พระปัทมสมภพไปอยู่ที่ป่าช้าเป็นการลงทัณฑ์ ป่าช้านี้เป็นที่คนเขาทิ้งศพ จึงกลาดเกลื่อนไปด้วยซากร่างที่ถูกทิ้งไว้ให้เน่าเปื่อย หรือไม่ก็ถูกแทะกินโดยสัตว์
แต่พระปัทมสมภพท่านยินดีนัก เพราะอยู่ป่าช้าจะได้บำเพ็ญธรรมได้สะดวกยิ่งขึ้น ท่านได้นำกะโหลกคนตายมาเรียงต่อกันเหมือนอิฐทำเป็นกุฏิวิปัสสนากรรมฐาน โดยกุฏินี้มี 8 ประตู ตรงกับอริยมรรคมีองค์ 8 ในกาลต่อมาท่านยังจาริกไปบำเพ็ญเพียรตามสุสานต่างๆ มากมายหลายแห่ง รวมถึงสุสานใกล้พุทธคยา
ในการทำสมาธิวิปัสสนาตามอย่างนิกายวัชรยานนั้น หากผ่านการอภิเษกจะมีเทพารักษ์คอยปกปักรักษา แต่กระนั้นก็ยังมักมีภูติผีวิญญาณร้ายรบกวน พระปัทมสมภพจึงต้องแสดงปางพิโรธเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายนั้น เช่นเดียวกับในการแสดงระบำกะโหลกจะมีการแสดงปางพิโรธของพระปัทมสมภพด้วย เพื่อปกปักคุ้มครองลามะผู้บำเพ็ญธรรม
กลับมาที่เรื่องตอนที่พระปัทมสมภพสังหารทารกกับมารดา
มีผู้รู้บางท่านอธิบายว่า ท่านกระทำลงไปโดยมีเจตนาชัดเจน ก็เพื่อสังหารทารกผู้นั้น
สาเหตุที่ท่านต้องสังหารเพราะเล็งด้วยญาณแล้วพบว่า ต่อไปทารกผู้นี้จะเติบใหญ่กลายเป็นทรราชเข่นฆ่าผู้คนมากมาย อีกทั้งในชาติที่แล้วมายังก่อกรรมทำเข็ญไว้อย่างสาหัสสากรรจ์ เมื่อทราบดังนั้นแล้ว ท่านจึงประกอบมหาโยคตันตระ ใช้ศัสตราวุธปลิดชีพเสีย เพื่อมิให้ทารกประกอบครุกรรมในภายหน้า เพื่อป้องกันมิให้สรรพสัตว์ต้องทุกข์เข็ญในภายหน้า กับทั้งชำระล้างอกุศลกรรมแต่หนหลังของทารก
เพราะว่ากันว่า หากผู้ใดถูกอริยบุคคลดุด่าว่ากล่าว หรือทำร้ายแล้ว จะชำระล้างบาปกรรมแต่หนหลังได้ ดังมีปรากฏในเรื่องราวคุรุนิกายวัชรยานหลายท่าน
ทิเบตเรียกการประกอบมหาโยคะทำนองนี้ว่า “โถลบะ” (sgrol ba) หรือการปลดปล่อย หรือโดยนัยคือ “นำพาข้ามห้วงสังสารวัฏ” โดยปลดเปลื้องจากภพภูมินี้ให้พ้นจากกรรมเวรอันต่ำ ไปสู่ภพภูมิเบื้องสูง ส่วนผู้จะกระทำเช่นนี้ ประการแรกต้องเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม เชื่อในภพภูมิทั้ง 31 และเชื่อในครูอาจารย์ หรือคุรุผู้สั่งสอน
การประกอบมหาโยคตันตระเช่นนี้ ต้องกระทำโดยผู้ที่ผ่านการอภิเษกหรือศึกษาพระธรรมจนรู้แจ้ง และยังต้องเป็นผู้ดำรงตนในโพธิสัตว์จรรยา กล่าวคือ ยอมเสียสละตัวเองเพื่อความสุขของผู้อื่น เป็นมหากรุณา
ด้วยเหตุนี้ พระปัทมสมภพจึงยอมรับผลกรรมจากการกระทำปาณาติบาต เพื่อปลดเปลื้องทารกนั้นจากบาปกรรมภายหลังและในอนาคต และช่วยเหลือสรรพสัตว์ที่จะต้องทนทุกข์จากการกดขี่เข่นฆ่าในอนาคต
ย้ำว่า การุณยฆาตนี้เป็นปาณาติบาต ทำชีวิตสัตว์ให้ล่วงไปโดยเจตนา มิใช่เรื่องกุศล แต่ผู้กระทำนั้นมีจิตใจเป็นโพธิสัตว์ยอมแบกรับอกุศลกรรมนั้นเสียเอง ซึ่งหากมิได้มีอินทรีย์แก่กล้าแล้ว ใครเล่าจะยอมรับกรรม ลงนรกหมกไหม้เพื่อสรรพสัตว์ได้
เรื่องทำนองนี้ย่อมอยู่เหนือสามัญสำนึกของคนทั่วไป หากมองในมุมชาวพุทธเถรวาทแล้วย่อมโหดร้ายทารุณ หากมองในมุมโพธิสัตว์จรรยาแล้วย่อมได้อีกมุมมอง อีกทั้งเรื่องนี้ มีความซับซ้อน หากมิได้รับการชี้แนะจากคุรุอาจเกิดความเข้าใจผิดอย่างเลวร้าย
ว่ากันตามหลักวัชรยานที่ต้องปิดลับข้อธรรมอันซับซ้อน เพื่อป้องกันผู้มีอินทรีย์ด้อยเข้าใจผิด จนเกิดการปรามาสธรรม การที่ผมอธิบายเรื่องนี้ก็นับเป็นความผิดใหญ่หลวง เพราะอาจทำให้ผู้คนเข้าใจผิดได้ง่าย แต่เพื่อเปิดมุมมองใหม่ จึงขอล่วงเกินอธิบายด้วยความรู้ต้อยต่ำ ทุกท่านอย่าได้เข้าใจผิดในเรื่องนี้ไป


