ราชสกุลในพระบรมราชจักรีวงศ์ (17)
ในรัชกาลที่ 1 ย้อนไปสมัยพระเจ้าปดุงทรงทราบว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงพระชรามาก
โดย...วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย
ในรัชกาลที่ 1 ย้อนไปสมัยพระเจ้าปดุงทรงทราบว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงพระชรามาก และสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเสด็จสวรรคตแล้ว จึงคิดจะขยายอำนาจเข้ามาเขตสยามประเทศ พระเจ้าปดุงจึงให้อะเติงหวุ่นเป็นแม่ทัพลงมาเกณฑ์พลที่เมืองเมาะตะมะเตรียมตีไทยเป็นการใหญ่ การเตรียมไม่ได้ผลสมคาดจึงได้ระงับการมาตีไทยไว้ก่อนกอปรกับกรุงรัตนโกสินทร์ผลัดแผ่นดิน จากนั้นพม่าจึงคิดมาตีหัวเมืองชายทะเลอีกครั้ง การมาตีสยามครั้งนี้อะเติงหวุ่นไม่ได้มาเองเพียงแต่จัดทัพให้ทัพบกเข้าตีเมืองชุมพรและเมืองไชยา ทัพเรือตีเมืองตะกั่วป่าและเมืองตะกั่วทุ่งแล้วเข้าล้อมเมืองถลาง 27 วัน จึงเข้าตีเมืองถลางได้ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กรมพระราชวังบวรสถานมงคล เป็นแม่ทัพยกไปทางกาญจนบุรีเพื่อสกัดทัพพม่า แต่การข่าวการศึกแจ้งมาภายหลังว่าทัพพม่ามิได้เข้ามาทางกาญจนบุรี กรมพระราชวังบวรสถานมงคลจึงยกทัพลงไปบัญชาศึกที่ทางใต้แทนจนทัพกรุงรัตนโกสินทร์ตีทัพพม่าแตกพ่ายกลับไปหมด ผลของการสงครามคือกรุงรัตนโกสินทร์ได้เมืองถลางคืนมา แต่ยับเยินเพราะถูกพม่าเผา นับเป็นการสงครามระหว่างไทยและพม่าครั้งสุดท้ายในสมัยพระเจ้าปดุง
ฃกรมพระราชวังบวรสถานมงคลทรงจัดการกับหัวเมืองทางใต้ใหม่คือเมืองพังงา เมื่อปี 2352 ต่อมาในปี 2357 ทรงเป็นแม่กองตั้งเมืองใหม่เป็นเมืองด่านหน้าทางทะเล พระราชทานชื่อว่า นครเขื่อนขันธ์ นอกจากนั้นยังทรงปฏิสังขรณ์วัดเก่า 2 วัด คือ วัดลิงขบ พระราชทานชื่อว่าวัดบวรมงคล และวัดเสาประโคน พระราชทานชื่อว่าวัดดุสิดารามวรวิหาร และทรงสร้างวัดใหม่ชื่อว่าวัดทรงธรรม
กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์เสด็จดำรงพระยศเป็นพระมหาอุปราชมาได้ 8 ปีถึงปีฉลูจุลศักราช 1179 ปี 2360 ประชวรเป็นพระยอดตรงที่ประทับ ให้ผ่าพระยอดนั้นเลยเกิดบาดพิษอาการพระโรคกำเริบขึ้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จขึ้นไปเยี่ยมประชวรทุกๆ วัน ด้วยกรมพระราชวังบวรฯ พระองค์นี้ ตั้งแต่ทรงพระเยาว์มา พระอัธยาศัยทรงชอบชิดสนิทเสน่หากับสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชยิ่งนัก ถึงเมื่อเป็นพระมหาอุปราชแล้วก็เสด็จลงมารับราชการในพระราชวังหลวงไม่เปลี่ยนแปลงพระอัธยาศัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดเกล้าฯ ให้ทรงกำกับตรวจตราราชการต่างพระเนตรพระกรรณทั่วไป เล่ากันว่า ครั้งนั้นกรมพระราชวังบวรฯ เสด็จลงมาพระราชวังหลวงเพลาเข้าประทับที่โรงละครเก่าที่อยู่ข้างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงตรวจตราข้อราชการต่างๆ แล้ว จึงเสด็จเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชทุกวันมิได้ขาด แม้จนในการเล่นหัวเครื่องสำราญพระราชอิริยาบถก็โปรดที่จะทรงด้วยกัน เป็นต้นว่าในฤดูลมสำเภา ถ้าปีใดทรงว่าว วังหลวงทรงว่าวจุฬา ชักที่สนามหน้าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม วังหน้าทรงว่าวปักเป้า ชักที่สนามหลวง เล่ากันมาแต่ก่อนดังนี้
ครั้งพระอาการกรมพระราชวังบวรฯ ประชวรหนักลง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จขึ้นไปประทับแรมที่ในพระราชวังบวรฯ ทรงรักษาพยาบาลสมเด็จพระอนุชาธิราชอยู่หลายราตรี จนถึง ณ วันพุธ เดือน 8 อุตราสาธขึ้น 3 ค่ำ เพลาเช้า 5 โมงเศษ (11 ก.ท.) กรมพระราชวังบวรเสนานุรักษ์ประชวรมาเดือนเศษ เสด็จสวรรคตที่พระที่นั่งวายุสถานอมเรศ พระชนมายุได้ 44 พรรษา พระราชทานน้ำสรง ทรงเครื่องพระศพเสร็จแล้ว เชิญลงพระลองประกอบพระโกศทองใหญ่ แห่มาประดิษฐานไว้ ณ พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ แต่หมายประกาศให้คนโกนหัวไว้ทุกข์คราวนี้ ให้เอาแบบอย่างครั้งกรุงศรีอยุธยาโกนแต่ผู้ที่มีสังกัดฝ่ายพระราชวังบวรฯ เท่านั้น มิได้ให้โกนทั้งแผ่นดินเหมือนอย่างครั้งกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทสวรรคตเมื่อในรัชกาลที่ 1
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวงในวันพุธที่ 22 เม.ย. 2361 หลังจากงานพระบรมศพแล้วพระบรมอัฐิถูกอัญเชิญไปประดิษฐานพระบุษบกทรงปราสาทเคียงข้างพระบรมอัฐิสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ณ พระที่นั่งวายุสถานอมเรศและถูกอัญเชิญมาประดิษฐานอีกครั้งที่หอพระนาคในพระบรมมหาราชวัง และพระบรมอัฐิบางส่วนถูกอัญเชิญไปประดิษฐานที่ท้ายจรนำวัดชนะสงคราม หลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยไม่ได้ทรงแต่งตั้งผู้ใดเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลอีกเลยตลอดรัชกาล ตำแหน่งวังหน้าจึงว่างลงนับแต่บัดนั้น ต่อมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 จึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระอัฐิกรมพระวังบวรมหาเสนานุรักษ์ ในพระบรมมหาราชวังไปประดิษฐานไว้ที่พระวิมานอันเป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิกรมพระราชวังบวรสถานมงคลในพระราชวังบวร
กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ทรงอภิเษกกับพระราชธิดาในสมเด็จพระเจ้าตากสิน นามเจ้าจอมมารดาสำลี มีพระโอรสองค์หนึ่งคือพระองค์เจ้าชายพงศ์อิสเรศ ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ทรงเป็นกรมหมื่นกษัตริย์ศรีศักดิเดช ในรัชกาลที่ 4 ทรงเป็นต้นราชสกุล อิศรเสนา ณ อยุธยา นอกจากนั้นก็มีพระโอรสกับเจ้าจอมมารดาคนอื่นๆ อันเป็นต้นราชสกุล บรรยงกะเสนา ณ อยุธยา ภุมรินทร ณ อยุธยา พยัคฆเสนา ณ อยุธยา รังสิเสนา ณ อยุธยา สหาวุธ ณ อยุธยา ยุคนธร ณ อยุธยา สีสังข์ ณ อยุธยา รัชนีกร ณ อยุธยา รองทรง ณ อยุธยา และพระองค์เจ้าชายฤกษ์ซึ่งผนวชเป็นสามเณรตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 ทรงครองสมณเพศต่อมาจนได้รับพระอิสริยยศเป็น สมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ในรัชกาลที่ 5 และทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 8 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์


