posttoday

เหลียงซานยิ่งใหญ่ได้ เพราะโดนผลักไสให้เป็นศัตรู

23 เมษายน 2560

ชาวจีนมีสำนวนหนึ่งว่า “บีบให้ขึ้นเหลียงซาน” (逼上梁山) วลีนี้หมายถึงสถานการณ์ที่สุจริตชนโดนอิทธิพลมืดกดดันบังคับ

โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์

ชาวจีนมีสำนวนหนึ่งว่า “บีบให้ขึ้นเหลียงซาน” (&&6924;&<9978;&>6753;&>3665;) วลีนี้หมายถึงสถานการณ์ที่สุจริตชนโดนอิทธิพลมืดกดดันบังคับให้ย้ายค่ายกลายเป็นโจร บีบให้คนตกที่นั่งลำบากจนจำเป็นต้องตั้งตนเพื่อต่อต้านฝ่ายกลั่นแกล้ง ที่มาของสำนวนนี้มาจากวรรณกรรมเรื่อง “สุยหู่จ้วน” (&>7700;&>7986;&>0256;)ซึ่งมีชื่อไทยและชื่อฝรั่งหลายชื่อ เช่น “ซ้องกั๋ง” “ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเขาเหลียงซาน” “108 ผู้กล้าเขาเหลียงซาน” ชื่อภาษาอังกฤษว่า “All men are brothers”, “Outlaws of the marsh”, “Water Margin”

วรรณกรรมเรื่องนี้ว่าด้วยกลุ่มกบฏในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ ซึ่งรวมตัวกัน ณ เหลียงซาน (อันที่จริงภูมิประเทศของเหลียงซานเป็นเนินเกาะกลางบึงเสียมากกว่าที่จะเรียกว่าเป็นภูเขา ชื่อภาษาอังกฤษจึงถูกต้องกว่า)

กรณี “บีบให้ขึ้นเหลียงซาน” ที่โดดเด่นที่สุดว่าด้วยตัวเอกที่ชื่อหลินชง หลินชงเป็นครูฝึกทหารหลวงที่มีฝีมือเก่งกล้าและซื่อสัตย์ภักดีต่อหน้าที่การงาน แถมมีศรีภรรยาที่งดงาม ดูเป็นชีวิตที่มั่นคงและมีความสุขจนใครหลายคนสมควรอิจฉา

วันหนึ่งหลินชงพาภรรยาไปไหว้ศาลเจ้างักฮุย หลินชงได้พบกับหลวงจีนร่างใหญ่นามหลู่จื้อเซินกำลังร่ายรำคทาอย่างอาจหาญ จึงเข้าไปเสวนาตามประสาคนชื่นชมผู้มีวิชายุทธ์ด้วยกัน หลินชงรู้สึกชื่นชมในความกล้าหาญ และน้ำจิตน้ำใจของหลวงจีนหลู่จื้อเซิน ทั้งสองพูดคุยกันถูกคอจึงผูกไมตรีเป็นพี่น้องร่วมสาบาน

ระหว่างนั้นเองสาวใช้ของหลินชงวิ่งรี่เข้ามาบอกว่า “แย่แล้วนายท่าน!! ฮูหยินกำลังถูกแก๊งแว้นลวนลาม!!” หลินชงขอตัวจากหลู่จื้อเซิน รีบรุดไปช่วยภรรยา เมื่อไปถึงศาลเจ้าหลินชงปรี่เข้าไปในกลุ่มแว้นที่ล้อมรอบภรรยาตนอยู่ กระชากคอเสื้อคนที่ดูเหมือนตัวหัวหน้าออกมา ง้างหมัดสุดแขน!!!... แต่แล้วจึงเห็นชัดว่าหัวหน้าแว้นนั้น คือ เกาหยาเน่ย ลูกบุญธรรมของเจ้านาย หลินชงตกใจคลายมือออก ลูกน้องเกาหยาเน่ยเห็นสถานการณ์ไม่ดีรีบเข้ามาเคลียร์

เกาหยาเน่ยและพวกย่อมรู้จักหลินชงแต่ดันไม่รู้จักภรรยาหลินชง พอรู้ตัวเกาหยาเน่ยจึงทำกระฟัดกระเฟียดแก้เก้อ ทั้งหมดรู้ดีว่าพวกตนฝีมือสู้หลินชงไม่ได้ ลูกน้องเกาหยาเน่ยจึงขอโทษขอโพยหลินชงพองามแล้วขอให้เลิกรากันไป หลินชงยังคงยืนกำหมัดแน่นพูดไม่ออกแค้นไม่หาย แต่จำต้องสกัดกั้นตัวเองไว้ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าผลเสียจากการผลีผลามนั้นไม่คุ้ม

หลวงจีนหลู่จื้อเซินตามมาดูสถานการณ์ เห็นพวกเกาหยาเน่ยเดินจากไปชิลๆ คิดว่าเรื่องลงเอยแบบนี้ไม่ถูกต้อง พุ่งตัวจะวิ่งตามไปอัดพวกเกาหยาเน่ย หลินชงรีบห้ามแล้วอธิบายให้หลู่จื้อเซินฟัง

หลินชงผู้ถูกกระทำยังอดทนได้ แต่เกาหยาเน่ยเสียหน้าครั้งใหญ่กลับทนไม่ได้ “วันหนึ่งข้าจะต้องเอาเมียหลินชงมาให้ได้!”...คนมีอิทธิพลอันธพาลจนเคยชินย่อมมีความอดทนอดกลั้นต่ำเป็นคุณสมบัติอันตราย

ด้วยความร่วมมือของเกาฉิว - พ่อบุญธรรมของเกาหยาเน่ย เมื่อเรื่องราวผ่านไปในระยะเวลาพอควร เกาฉิวออกอุบายหลอกให้หลินชงเอาดาบวิเศษที่เขาครอบครองมาให้ดูที่ตำหนักของตนเป็นขวัญตา หลินชงคนซื่อไม่เอะใจอะไร นำดาบเข้าตำหนักไปตามคำสั่ง ผลปรากฏว่าเมื่อเข้าไปข้างในโดนล้อมจับในข้อหา “พกอาวุธเข้าตำหนักท่านเกาฉิวโดยพลการ”

คดีส่งไปที่ศาลพร้อมใบสั่งให้จัดการหลินชง ศาลตัดสินได้รวดเร็วทันใจว่าหลินชงเป็นถึงครูฝึกทหารแต่ดันละเมิดกฎเหล็ก ให้เนรเทศหลินชงไปเข้าคุกที่เมืองชางโจว พร้อมแนบคำสั่งลับๆ ให้ผู้คุมว่า “สุดท้ายให้นักโทษหลินชงตายเพราะทนความยากลำบากระหว่างเดินทางไม่ได้”

หลวงจีนหลู่จื้อเซินระแวงอิทธิพลมืดเป็นทุนเดิม จึงแอบสะกดรอยสอดส่องหลินชงไประหว่างการเดินทาง แผนการวิสามัญระหว่างทางจึงไม่สำเร็จ หลู่จื้อเซินยังชวนให้หลินชงหลบหนี แต่หลินชงไม่ยินยอม ขอรับโทษแบบแมนๆ ชีวิตนี้มีเกียรติเป็นครูฝึกทหารหลวงมาเนิ่นนาน อย่างไรก็ไม่อยากให้ใครตราหน้าว่าเป็นนักโทษแหกคุก

เมื่อถึงชางโจว ด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนที่เคยรู้จักกัน หลินชงได้อยู่ในฐานะนักโทษชั้นดี ไม่ต้องโดนกักขัง ได้รับมอบหมายเป็นพนักงานเฝ้าโรงเก็บฟาง จัดเป็นงานสบาย

แต่แล้วคืนหิมะตกหนักโรงเก็บฟางดันเกิดไฟไหม้ใหญ่ หลินชงโชคดีรอดมาได้ และยังได้แอบฟังคนวางเพลิงคุยกันจนรู้ความจริงว่า เพื่อนรักที่ช่วยเหลือให้หลินชงได้เป็นนักโทษชั้นดีก็ยังพ่ายแพ้แก่อำนาจบารมีมืด ร่วมมือกับเกาฉิววางเพลิงฆ่าหลินชงในครั้งนี้ ความเลวร้ายทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะเกาหยาเน่ยอยากได้เมียหลินชงมาครอบครอง...

หลินชงแค้นคลั่ง รู้ตัวอีกทีก็ไม่มีที่ที่ยืนได้อย่างปลอดภัยใดๆ ในสังคม เป็นข้าราชการดีไม่ได้ เป็นประชาชนที่ดีไม่ได้ เป็นนักโทษชั้นดียังไม่ได้ ไม่เหลือทางเลือกอื่นใด นอกจากหันหลังให้กับระบบ เข้าไปรวมตัวกับพวกโจรกบฏที่เหลียงซาน

นอกจากหลินชงแล้ว ในบรรดา 108 ผู้กล้ายังมีอีกหลายต่อหลายคนที่ถูกอิทธิพลมืดในนามของ “ทางการ” บีบบังคับ ถิ่นเหลียงซานที่เริ่มต้นด้วยซ่องโจรธรรมดาๆ จึงกลายเป็นที่รวบรวมผู้กล้าจากทั่วสารทิศ และต่างเป็นผู้กล้าที่ครั้งหนึ่งสามารถเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนระบบการปกครองของทางการทั้งสิ้น

กบฏแห่งเหลียงซานยิ่งนานเข้าก็ยิ่งมีกำลังเพิ่มทวี กลายเป็นความเดือดร้อนที่ราชสำนักซ่งต้องส่งกำลังเข้าปราบปราม อีกทั้งกลายเป็นดินแดนแห่งธงคุณธรรมของชาวบ้านที่ถูกเบียดเบียนจากการกดขี่และอิทธิพลมืดของราชสำนักซ่ง ทุกคนรักใคร่กันดั่งพี่น้อง ไม่ว่าราชสำนักจะปราบปรามเท่าไหร่ก็เอาไม่อยู่

วรรณกรรม “ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเขาเหลียงซาน” กลายเป็นต้นฉบับคลาสสิกสำหรับจิตวิญญาณกบฏ สำนวน “บีบให้ขึ้นเหลียงซาน” กลายเป็นสำนวนติดปากชาวจีน

เหมาเจ๋อตงเคยกล่าวไว้ “พวกเรา (กองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์) ขึ้นเขาทำสงคราม ก็เพราะพวกก๊กมินตั๋งบีบเรา เราถูกบีบบังคับให้ขึ้นเหลียงซาน (จับอาวุธก่อกบฏ)”

เหมาเจ๋อตงคนเดียวกันนี้ยังเคยกล่าวไว้อย่างกระชับและได้ใจความเช่นกันว่า “พูดถึงการเมือง ก็คือทำให้เพื่อนมากขึ้นๆ แล้วทำให้ศัตรูน้อยลงๆ” ประโยคนี้เหมาเจ๋อตงไม่พร่ำพูดถึงความถูกต้องหรือหลักการใดๆ อาจจะเพราะเอาเข้าจริงแล้ว หลักการเหล่านั้นก็มีค่าเป็นเพียงเครื่องมือเพิ่มหรือลดปริมาณเพื่อนและศัตรูทางการเมืองเท่านั้น

พฤติกรรมที่ผู้มีอำนาจบีบและผลักไสคนให้อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับตนมากขึ้นเรื่อยๆ จึงเป็นทั้งพฤติกรรม “บีบให้ฝ่ายตรงข้ามพรั่งพรูขึ้นเหลียงซาน” และ “ทำให้เพื่อนน้อยลงๆ แล้วทำให้ศัตรูมากขึ้นๆ” จนห่างไกลกับชัยชนะทางการเมืองเข้าทุกที

ว่าแล้วก็นึกย้อนชื่นชมในนโยบายทางการเมืองของไทยที่ใช้ต่อสู้กับกลุ่ม ผกค.ช่วงท้ายๆ ที่รัฐไทยเลือกที่จะกล่อม ผกค. ซึ่งกำลังอ่อนแรงกลับมาเป็นพวก โดยมิได้ใช้ความรุนแรงล้อมปราบ หรือผลักดันให้เป็นศัตรู ความสงบที่เกิดขึ้นได้จริง นอกจากเป็นเพราะปัจจัยต่างๆ เกื้อหนุนแล้ว ก็เพราะนโยบายเปิดรับให้พวกเขา “ลงจากเหลียงซาน” และ “ทำให้เพื่อนมากขึ้นๆ ศัตรูน้อยลงๆ” นโยบายนี้สำเร็จไปด้วยดี ผ่อนคลายความตึงเครียดและคับแค้นได้อย่างสันติ การเมืองที่ต้องการชัยชนะอย่างปรองดองจึงควรมีเหตุการณ์เหล่านี้เป็นบทเรียน

“ไม่บีบให้สุจริตชนขึ้นเขาเหลียงซาน เพิ่มเพื่อนให้มากขึ้นๆ และไม่ผลักไสผู้คนไปเป็นศัตรู” 

ข่าวล่าสุด

กกต. เห็นชอบร่างแผนเลือกตั้ง – กำหนดวันใช้สิทธิ์ 8 ก.พ. 69