วัดพังม่วง ศรีประจันต์ สมโภชพระศักดิ์สิทธิ์ยุคสุโขทัย
พระครูภัทรกิตติสุนทร (พระมหาแถม กิตฺติภทฺโท)รักษาการเจ้าอาวาสวัดพังม่วง อ.ศรีประจันต์ เปิดเผยว่า
โดย...สมาน สุดโต
พระครูภัทรกิตติสุนทร (พระมหาแถม กิตฺติภทฺโท)รักษาการเจ้าอาวาสวัดพังม่วง อ.ศรีประจันต์ เปิดเผยว่า ทางวัดจะจัดงานใหญ่ 5 วัน 5 คืน วันที่ 5-9 เม.ย. 2560 เพื่อสมโภชหลวงพ่อพุทธโสภิต ยุคสุโขทัย และหลวงพ่อสัมฤทธิ์ ยุคอู่ทอง ซึ่งเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ คู่วัดพังม่วง โดยคณะศิษย์และผู้ศรัทธาได้อุปถัมภ์มหรสพ เช่น การแสดงคอนเสิร์ตจากค่ายศิลปินอาร์สยาม ประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง รำวงย้อนยุค การแข่งขันชกมวย เป็นต้น มาร่วมสมโภช ซึ่งจะถ่ายทอดสดทางไบรท์ทีวี ช่อง 20 ด้วย
ประกาศเปิดอุโบสถ
พระครูภัทรกิตติสุนทร เล่าว่า ท่านนั้นเป็นลูกหลานชาววัดพังม่วง เกิดที่บ้านวังกรานต์ มาเล่าเรียนที่วัดพระพิเรนทร์ กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่เป็นสามเณร จนกระทั่งได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดพระพิเรนทร์ เมื่อปี 2555 ส่วนที่มารั้งตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาสวัดพังม่วง ก็เนื่องจากตำแหน่งเจ้าอาวาสว่างลง หลังจากพระศรีธรรมคุณาธาร (พระมหาจำนงค์ ป.ธ.9) มรณภาพ เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 2560 พระผู้ใหญ่ใน จ.สุพรรณบุรี และญาติโยมวัดพังม่วง จึงนิมนต์ให้รักษาการเจ้าอาวาส
เมื่อมารักษาการเจ้าอาวาส จึงได้ปรับภูมิทัศน์ของวัดให้สะอาดตา เปิดอุโบสถให้ญาติโยมและชาวบ้านมากราบไหว้หลวงพ่อพุทธโสภิตที่ศักดิ์สิทธิ์ตลอดวัน และทุกวันศุกร์นักเรียนโรงเรียนวัดพังม่วง โดยความร่วมมือของครูได้นำนักเรียนมาสวดมนต์และนั่งสมาธิ จึงมีโครงการส่งเสริมการสวดมนต์ โดยเชิญโรงเรียนใน อ.ศรีประจันต์ ส่งนักเรียนเข้าประกวดสวดมนต์ทำนองสรภัญญะเพื่อชิงทุนการศึกษาต่อไป
ส่วนที่จัดงานสมโภชหลวงพ่อพุทธโสภิตนั้น สืบเนื่องมาจากความเด่นดังด้านศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อพุทธโสภิตค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของชาวบ้าน ในขณะที่เยาวชนรุ่นใหม่เกือบไม่รู้จัก เพราะทางวัดปิดอุโบสถมาตลอด มาถึงยุคที่ท่านรักษาการเจ้าอาวาสจึงประกาศเปิดอุโบสถทุกวัน และเพื่อให้เป็นที่จดจำ จึงจัดงานสมโภชใหญ่ขึ้น ตามวันเวลาที่กล่าวแล้ว
หลวงพ่อพุทธโสภิตที่ศักดิ์สิทธิ์
หลวงพ่อพุทธโสภิต มีประวัติน่าติดตามมาก เคยโดนระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังไม่เป็นไร เพราะก่อนจะมาเป็นพระประธานที่อุโบสถวัดพังม่วงนั้น เป็นพระพุทธรูปประจำวิหารคด วัดราชบุรณราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร มานานกว่า 100 ปี ตั้งแต่รัชกาลที่ 2-8 จากนั้นจึงมาสถิตที่วัดพังม่วง อ.ศรีประจันต์ สาเหตุที่มาอยู่วัดพังม่วง เพราะวัดราชบุรณะ หรือวัดเลียบ ที่ท่านสถิตอยู่เดิมนั้นถูกระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แหลกลาญ จากการที่พันธมิตรส่งเครื่องบินมาบอมบ์โรงไฟฟ้าจังหวัดพระนคร (โรงไฟฟ้าวัดเลียบ) เมื่อวันที่ 14 เม.ย. 2488 โรงไฟฟ้าพัง ทำให้วัดเลียบหรือวัดราชบุรณะซึ่งอยู่ติดกับโรงไฟฟ้าพังไปด้วย
เมื่อวัดพังจนเกือบไม่มีอะไรเหลือ คณะสังฆมนตรี (ลักษณะการปกครองสงฆ์ในขณะนั้น) และรัฐบาลจึงประกาศยุบวัด เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2488 อนุญาตให้ผู้ที่ต้องการสมบัติของวัด เช่น พระพุทธรูปที่ไม่เสียหายก็มาขอรับไปได้ ประกาศนี้เป็นโอกาสให้พระสงฆ์ชาวสุพรรณบุรีที่อยู่จำพรรษาวัดราชบุรณะอย่างน้อย 2 รูป คือ พระปลัดสุวัฒนธุตคุณ หรือหลวงพ่อเชี้ยงและพระมหาผล ภทฺทิโย เลือกพระพุทธรูปที่รอดจากระเบิดที่มีพุทธลักษณะงาม 2 องค์ บรรทุกเรือมาสุพรรณบุรี แต่ก่อนจะนำขึ้นเรือได้พอกปูนทั้งองค์เพื่อพรางตาโจรผู้ร้าย และมาขึ้นที่ท่าน้ำวัดพังม่วง อ.ศรีประจันต์ ได้อย่างราบรื่น
พระพุทธรูป 2 องค์นั้น อยู่วัดพังม่วง 1 องค์ และที่วัดม่วงเจริญผลอีก 1 องค์
หลวงพ่อเชี้ยง ต่อมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดราชบุรณราชวรวิหาร (หลังจากรัฐบาลประกาศให้เป็นวัดมีพระภิกษุจำพรรษา เมื่อปี2491 และเป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่ปี 2491-2535) สมณศักดิ์ล่าสุดเป็น พระราชพฤฒาจารย์
พระมหาผล ภทฺทิโย ป.ธ.6 (เกิดปี 2441 มรณภาพปี 2513) คนวังสะพาน-พังม่วง ไปเรียนหนังสือและจำพรรษาที่วัดราชบุรณราชวรวิหาร กลับมาอยู่วัดพังม่วงในปี 2485 จนถึงปี 2508 ได้รับคำสั่งจากคณะสงฆ์ให้เป็นรองเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นเจ้าคุณพระภัทรมุนี และเป็นเจ้าอาวาสวัดไชนาวาส อ.เมืองสุพรรณบุรี (2508-2513)
ย้อนไปเมื่อปี 2497 พระมหาผลภทฺทิโย เป็นผู้นำในการสร้างอุโบสถวัดพังม่วงขึ้นใหม่ แทนหลังเก่าที่สร้างมาแต่สมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อสร้างเสร็จได้อัญเชิญพระพุทธรูปที่นำมาจากวัดราชบุรณะ กรุงเทพฯ เป็น
พระประธาน และขนานนามว่า หลวงพ่อพุทธโสภิตแปลว่า หลวงพ่อที่มีความงาม ชาวบ้านโจษขานกันว่าศักดิ์สิทธิ์ ขนาดผึ้งบินผ่านเศียรถึงกับตกลงมาทีเดียว
หลวงพ่อพุทธโสภิต เป็นพระพุทธรูปศิลปะยุคสุโขทัย สันนิษฐานว่าเป็น 1 ในจำนวน 162 องค์ ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมมาจากหัวเมืองเหนือ ได้แก่ สุโขทัย สวรรคโลก พิชัย พิจิตร ลพบุรี และอยุธยา เมื่อปี 2337 ซึ่งเป็นช่วงที่รวบรวมพระพุทธรูปครั้งใหญ่ที่สุดของกรุงรัตนโกสินทร์
ส่วนหลวงพ่อสัมฤทธิ์นั้น เป็นพระพุทธรูปสมัยอู่ทอง เป็นประธานในอุโบสถหลังเก่า ซึ่งปัจจุบันได้แก่ วิหาร ในขณะที่พระพุทธบาทจำลองนั้น สร้างเมื่อปี 2441 สมัยพระอาจารย์ช้างเป็นเจ้าอาวาส ก็อยู่ในวิหารเช่นกัน
สมเด็จพระนเรศวรเดินทัพผ่าน
วัดพังม่วง เป็นวัดโบราณซึ่งมีหลวงพ่อสัมฤทธิ์ศิลปะสมัยอู่ทองที่ประดิษฐานในวิหารเป็นหลักฐานยืนยันทฤษฎีนี้ ต่อมาอาจถูกทิ้งร้าง จนถึงปี 2370 ชาวบ้านที่รวมตัวเป็นชุมชนจึงสร้างขึ้นใหม่ ตั้งชื่อว่า วัดพังม่วง อยู่ฝั่งตะวันตกแม่น้ำท่าจีน ขณะที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ มีอีกวัดชื่อ พิกุลทอง ต่อมาประมาณปี 2441-2450 ทั้งสองวัดยุบรวมกัน โดยวัดพังม่วงมารวมกับวัดพิกุลทอง แต่ตกลงใช้ชื่อวัดพังม่วง
ส่วนชุมชนเป็นชุมชนโบราณ ชื่อว่าท่าท้าวอู่ทอง มีประวัติร่วมสมัยกับการเดินทัพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อกรีธาทัพมาทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาแห่งหงสาวดี ที่ ต.หนองสาหร่าย หรือดอนเจดีย์
โดยเดินทัพข้ามแม่น้ำท่าจีน ที่ท่าท้าวอู่ทอง หรือพังม่วงในปัจจุบัน ซึ่งสมัยนั้นน้ำจะแห้งจนมีชื่อเรียกว่า วังน้ำซับ คำนี้กลายเป็นชื่อตำบล ส่วนแม่น้ำที่เคยแห้งในช่วงหน้าแล้ง ก็แก้ไขได้ หลังจากกรมชลประทานได้สร้างประตูน้ำโพธิ์พระยา
สุนทรภู่เรียกบางม่วง
เรื่องแม่น้ำท่าจีนแห้ง ยืนยันได้จากนิราศสุพรรณของสุนทรภู่ ที่มาสุพรรณบุรีช่วงรัชกาลที่ 3 เมื่อผ่านบ้านพังม่วง แต่ท่านกวีเอกเรียกว่าบางม่วง ดังความในนิราศว่า บางม่วงห้วงหาดตื้น ติดเรือ ทรายเกลี่ยเรี่ยรอยเสือ ซับซ้อน ซึ้งซึกพฤกษครุมเครือ ค่างโครก โฮกแฮ โปรยแต่ใบไม้หว้อน วิ่งร้องพองขน ลูกค่างอย่างย้อมชาติ ชมภู เหลืองอ่อนโอ้เอนดู เด็กน้อย แม่อุ้มชุ่ม ชื่นชู ชมลูบ จูบเอย กอดแอบแนบอกห้อย หกโน้มโถมทยานฯ
การที่สุนทรภู่เรียกบ้านพังม่วงว่าบางม่วง สันนิษฐานว่าเสียงเหน่อของชาวสุพรรณ ทำให้สุนทรภู่ได้ยินเพี้ยนจากพังเป็นบางก็ได้
ส่วนชื่อ พังม่วง มีที่มาจากชื่อ ช้างพังม่วง ซึ่งเป็นช้างในกองทัพสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่ล้มลงบริเวณนี้ ตอนเดินทัพกลับจากการรบที่หนองสาหร่าย มุ่งหน้าสู่กรุงศรีอยุธยา
ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์
ส่วนความเด่นของชาววัดพังม่วงนั้น ไม่มีอะไรเด่นเกินความรักใคร่สามัคคี เห็นได้จากการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำท่าจีน ที่เรียกว่า สะพานท่าท้าวอู่ทอง เมื่อวันที่ 25 ม.ค. 2547 นั้น ใช้เวลาสร้างเพียง 10 เดือน โดยไม่ได้พึ่งงบประมาณ หรือเงินอุดหนุนจากหน่วยงาน หรือบุคคลอื่นเลย ทั้งๆ ที่เป็น
งบประมาณหลายล้านบาท เงินทุกบาททุกสตางค์ได้จากการบริจาคของชาวบ้านโดยตรง เมื่อทำพิธีเปิด เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2547 สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม ได้เมตตามาเป็นประธานเปิดอีกต่างหาก จึงเป็นสะพานแห่งความภูมิใจ เป็นสัญลักษณ์แห่งความสามัคคี และเป็นศูนย์รวมใจของชาวบ้านสองฝั่งแม่น้ำท่าจีนที่ทำบุญวัดเดียวกัน
ไม่ใช่แต่เท่านั้น ในวัดพังม่วงยังมีกุฏิทรงไทยแบบดั้งเดิม พิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมของพื้นบ้าน และของวัดให้ทัศนศึกษา ดังนั้น ตั้งแต่นี้ต่อไปวัดพังม่วงจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมแห่งหนึ่งของ อ.ศรีประจันต์ จึงเชิญชวนทุกท่านมาไหว้หลวงพ่อพุทธโสภิตที่ศักดิ์สิทธิ์ พบกับกัลยาณมิตรรอบวัด และสัมผัสบรรยากาศความเป็นกันเองของชุมชน ซึ่งเกิดขึ้นแล้วภายใต้การนำของพระครูภัทรกิตติสุนทร (พระมหาแถม กิตฺติภทฺโท) รักษาการเจ้าอาวาส ที่มีวิสัยทัศน์ในการส่งเสริมและพัฒนาที่ดีเยี่ยม


