posttoday

การเมืองไทย 4.0:ศัลยกรรมหรือฆาตกรรม

26 มีนาคม 2560

การเมืองไทยควร “ซ่อม” หรือ “สร้าง” เราต้องยอมรับว่าหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 การเมืองไทยยังพัฒนาไปไม่ถึงไหน

โดย... ทวี สุรฤทธิกุล

การเมืองไทยควร “ซ่อม” หรือ “สร้าง”

เราต้องยอมรับว่าหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 การเมืองไทยยังพัฒนาไปไม่ถึงไหน ประชาธิปไตยที่คาดหวังจะสร้างขึ้นในครั้งนั้น ก็ยังคงวนเวียนอยู่มือของ “อำมาตย์” ที่หมายถึงชนชั้นปกครอง หรือกลุ่มคนที่ครองอำนาจสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นทหารและข้าราชการในยุครัฐประหาร กับนายทุนและผู้มีอิทธิพลในยุคเลือกตั้ง

ทุกครั้งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ไม่ว่าจะด้วยการยึดอำนาจหรือการหย่อนบัตรเลือกตั้ง ชนชั้นปกครองเหล่านี้ก็เสนอแนวคิดมากมาย ในการที่จะทำให้การเมืองไทยดีขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นได้แค่ “ซ่อม” หรือ “ศัลยกรรม” เล็กๆ น้อย (ในทางอุตสาหกรรมเรียกว่า Cosmetic Change หรือการแต่งเติมเสริมสวยเล็กๆ น้อยๆ) ไม่ถึงขั้น “สร้าง” หรือทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆ (ที่เรียกว่า Model Change หรือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง) โดยใช้คำว่า “ปฏิรูป” ไม่ว่าในยุคที่กองทัพครองประเทศ หรือมวลชนขึ้นมามีอำนาจ แม้จะมีนัยว่าต้องการเปลี่ยนแปลงด้วยความนุ่มนวล แต่กระนั้นก็แสดงถึงความล้มเหลวหรือ “ปัสสาวะไม่สุด” มาทุกครั้ง

ผู้เขียนเห็นใครๆ ก็กำลังนิยมคำว่า 4.0 จึงขอร่วมกระบวนการ “คลั่ง 4.0” นี้ด้วย โดยอยากจะเห็น “การเมืองไทย 4.0” ว่าควรมีลักษณะอย่างไร แต่ทั้งนี้ก็ขอทบทวนความเข้าใจของท่านผู้อ่านสักเล็กน้อยว่า แล้วที่เรียกว่าการเมืองไทยตั้งแต่ 1.0 จนถึง 3.0 นั้นเป็นอย่างไร

ยุค 1.0 คือ นับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิ.ย. 2475 ถึง 14 ต.ค. 2516 ที่เป็นการเมืองในระบอบอำมาตยาธิปไตย อำนาจผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนอยู่ในกลุ่มข้าราชการคือทหารกับพลเรือนนั้นมาโดยตลอด

ยุค 2.0 คือ หลังการโค่นล้มเผด็จการ “ถนอม-ประภาส-ณรงค์” ในวันที่ 14 ต.ค. 2516 ที่ทำให้ประชาชนตระหนักว่าสามารถเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองได้ กระนั้นก็ลุ่มๆ ดอนๆ ทหารยังคงครองอำนาจมาในบางช่วง ในลักษณะที่ร่วมมือกับกลุ่มการเมือง กระทั่งสมคบกันจะยึดครองอำนาจต่อไปอีก จึงถูกต่อต้านในเหตุการณ์เดือน พ.ค. 2535

ยุค 3.0 คือ ยุคของการปฏิรูปการเมือง ตั้งแต่หลังเหตุการณ์เดือน พ.ค. 2535 จนถึงการรัฐประหารของ คสช.ในวันที่ 22 พ.ค. 2557 ที่คาดหวังกันว่าจะเป็นยุคของการเมืองภาคประชาชน แต่กลายเป็นว่ากลุ่มทุนสามานย์ได้มา “ต้มตุ๋น” เอาอำนาจนั้นไป จนเกิดความขัดแย้งมาเป็นระลอก ถึงขั้นเชิญชวนให้ทหารออกมายึดอำนาจอีก 2 ครั้ง นำมาสู่การปฏิรูปประเทศในขณะนี้

ดังนั้น “การเมืองไทย 4.0” ก็หมายถึงการเมืองที่มีการวางยุทธศาสตร์การปฏิรูปประเทศ ตามกรอบเวลาที่กำหนดโดย คสช.ในระยะ 20 ปีต่อไปข้างหน้านี้ อันมีสาระสำคัญเป็น 2 กรอบคิดใหญ่ๆ คือ การทำการเมืองยุคใหม่ให้ “สะอาด” และการปกป้องรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนี้ไว้ให้มั่นคงยั่งยืน

ผู้เขียนมีคำอธิบายสำหรับกรอบแนวคิดแรก คือการทำให้การเมืองไทยในยุคต่อไปต้องสะอาดสวยใส อันเป็นทัศนะส่วนตัวจากการเฝ้าสังเกตการดำเนินการของ คสช.ในระยะที่ผ่านมาเกือบจะ 3 ปีนี้ ว่า คสช.มีจุดมุ่งที่จะเข้าไปจัดการและควบคุมให้แนวคิดนี้เป็นไปได้อย่างเต็มที่ นั่นก็คือการให้ความสำคัญกับการวางโครงสร้างทางการเมืองการปกครอง “อย่างพิถีพิถัน” นับตั้งแต่การร่างรัฐธรรมนูญที่ต้องกระทำกันถึง 2 รอบ คือรอบแรกที่จัดทำโดยคณะของอาจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ที่ยังมีข้อบกพร่องจนต้องคว่ำไป แล้วมาให้คณะของอาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ ที่ก็ยังอยู่ในระหว่างรอโปรดเกล้าฯ ลงพระปรมาภิไธย

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการระดมคนมาช่วยวางรูปแบบการปฏิรูปประเทศถึง 2 ชุด คือชุดที่เรียกว่าสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่รวมหัวกะทิในสังคมไทยที่ดีที่สุดแล้ว มาผลิตเป็นชุดการปฏิรูปได้หลายสิบชุด กระนั้นก็ยังไม่เป็นที่พอใจของ คสช. ต้องยุบ สปช.นั้นเสีย แล้วตั้งสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ขึ้นมาแทน ซึ่งก็กำลังเร่งทำผลผลิตออกมา โดยส่วนหนึ่งก็อาศัยผลงานของ สปช.นั่นเองมาขัดเกลาแต่งเติม เพราะทันทีที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้ก็จะต้องถูกยุบไป โดยภาระในการขับเคลื่อนที่แท้จริงจะไปอยู่ในมือของคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปประเทศ ตามที่ได้เขียนไว้ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับรอโปรดเกล้าฯ นี้ ซึ่งจะเข้ามาควบคุมการปฏิรูปประเทศไปอีกไม่น้อยกว่า 20 ปี เพื่อสร้างการเมืองไทยในยุค 4.0 ดังกล่าว

 ระหว่างนี้ก็มีการตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ที่เรียกว่า “กฎหมายลูก” เตรียมไว้หลายฉบับ ที่ถ้าใครได้อ่านแล้วก็ต้องบอกว่า “ขนหัวลุก” โดยเฉพาะนักการเมืองที่คิดมากระทำย่ำยีกับประเทศชาติในแบบเดิมๆ ที่ไม่น่าจะใช่ “ศัลยกรรม” แต่จะถึง “ฆาตกรรม” ตัดทิ้งไปเลย

 การเมืองยุคหน้าไม่สวย แต่สะอาดแน่ๆ (ถ้าทำได้)

ข่าวล่าสุด

DSI แจง "คดีJKN" พบความผิดนอกราชอาณาจักร ย้ำ! ปมหุ้นกู้ยังอยู่ที่ ก.ล.ต.