เสียงที่เราไม่เคยได้ยิน
“เสียงดังเข้าไว้ให้คนเขาได้ยิน” คำคำนี้ใช้ไม่ได้กับทุกกรณีเพราะในบางครั้งคนเราก็มีอาการหูไม่ถึง
โดย...รักฉัตร เวทีวุฒาจารย์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
“เสียงดังเข้าไว้ให้คนเขาได้ยิน” คำคำนี้ใช้ไม่ได้กับทุกกรณีเพราะในบางครั้งคนเราก็มีอาการหูไม่ถึง ไม่สามารถรับคลื่นเสียงที่มีความถี่สูงที่สัตว์หลายชนิดใช้สื่อสารพูดคุยกันได้
ตัวอย่างเช่น ตั๊กแตนหนวดยาว Arachnoscelis Arachnoides ซึ่งมีรูปร่างคล้ายแมงมุมและเป็นชนิดที่หายากมาก ขนาดที่นักอนุกรมวิธานหลายคนเชื่อว่ามันสูญพันธุ์ไปแล้ว โดยตั้งแต่ปี ค.ศ. 1891 มีตัวอย่างแมลงชนิดนี้อยู่แค่ 1 ตัว และไม่เคยมีงานวิจัยใดๆ ที่เกี่ยวกับตั๊กแตนหนวดยาวที่รูปร่างหน้าตาเหมือนแมงมุมชนิดนี้ปรากฏอีกเลย แต่ Ben Chivers และทีมวิจัยจาก University of Lincoln พบพวกมันจากการลงเก็บตัวอย่างในพื้นที่ป่าแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศโคลอมเบีย ซึ่งหลังจากเจอว่าพวกมันยังดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ Ben และคณะจึงได้ลงไปอีกครั้งพร้อมอุปกรณ์ชุดใหญ่เพื่อไปเก็บบันทึกเสียง
ทีมวิจัยได้กลับมาวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นแล้วพบว่า ตั๊กแตนหนวดยาวตัวจิ๋ว Arachnoides สามารถส่งเสียงด้วยความถี่สูงถึง 74 กิโลเฮิรตซ์ และมีค่าความเข้มเสียงถึง 110 เดซิเบล ซึ่งโดยปกติในช่วงความถี่ของคลื่นเสียงที่สูงมากๆ นั้น เสียงบริสุทธิ์จะแหลมเล็ก และส่งไปได้ไม่ไกล แต่ Arachnoides สามารถส่งเสียงไปได้ไกลอย่างต่อเนื่อง โดยที่ยังคงรักษาระดับคลื่นความถี่สูงเอาไว้ได้ ซึ่งแน่นอนว่าพวกมันมีเทคนิคพิเศษกว่าแมลงชนิดอื่นๆ
ปกติแล้วแมลงที่ชอบร้องเพลงอย่างตั๊กแตนหนวดยาวและจิ้งหรีดตัวผู้นั้น จะใช้วิธีการสร้างเสียงที่เรียกว่า Stridulation ด้วยการใช้ปีกคู่หน้าข้างที่เป็นสันขอบแข็ง ซึ่งเรียกว่า Scraper ถูไปมากับปีกอีกข้างที่มีลักษณะเป็นร่องซี่ถี่ๆ คล้ายตะไบ เรียกว่า File จนเกิดเสียง ซึ่งเสียงจะเกิดขึ้นตอนช่วงปีกหุบ แต่ของตั๊กแตนหนวดยาว Arachnoides จะเกิดเสียงในช่วงที่ปีกกางออก ทุกครั้งที่มันกางปีกขึ้น จะมีจังหวะหยุดสั้นๆ ตอนที่ตำแหน่งของ Scraper ไปอยู่หลังซี่ตะไบ จังหวะหยุดนี้คือการสะสมพลังงานศักย์ยืดหยุ่น ซึ่งเป็นตัวช่วยส่งให้เสียงของตั๊กแตนหนวดยาว Arachnoides ดังและไปได้ไกลมาก
คนส่งเปล่งเสียงได้ดังขนาดนี้ ถ้าคนรับเสียงหูไม่ถึงก็จบ หู หรือ Tympanum ซึ่งอยู่ตรงขาคู่หน้าของตั๊กแตนหนวดยาวและจิ้งหรีด จึงเป็นอวัยวะสำคัญที่ช่วยให้การสื่อสารระดับอัลตราโซนิกนั้นประสบความสำเร็จ ตั๊กแตนหนวดยาวตัวเมียแยกแยะเสียงของตัวผู้ที่มีความถี่สูงเกือบ 80 กิโลเฮิรตซ์ ได้แม้ว่าในป่าจะมีสารพัดเสียงก็ตาม ถึงแม้หูของตั๊กแตนหนวดยาวตัวเมียจะเทพขนาดนี้ แต่ Greater Wax Moth นั้นสุดกว่า เพราะพวกมันได้ยินเสียงความถี่สูงถึง 300 กิโลเฮิรตซ์ และครองแชมป์หูทิพย์อยู่ในปัจจุบัน
หูของคนมีลิมิตของการได้ยินอยู่ที่คลื่นความถี่ไม่ต่ำกว่า 20 เฮิรตซ์ และไม่เกินกว่า 20 กิโลเฮิรตซ์ ทำให้ในบางครั้งก็มีบ้างที่เกิดอาการหูไม่ถึง และเข้าใจผิดว่าสัตว์บางชนิดนั้นร้องไม่เป็น ทั้งที่ในความเป็นจริงพวกมันกำลังร้องโหยหวน โวยวายด้วยเสียงอันดังมากมายก็ตาม นอกจากตั๊กแตนหนวดยาวและจิ้งหรีดที่กล่าวมาแล้ว ยังมีสัตว์ที่คุยกันด้วยเสียงอัลตราโซนิกอีกหลายชนิด เช่น
- โลมา ส่งเสียงหาเหยื่อ สื่อสารกับตัวอื่นๆ ที่ความถี่สูง 220-250 กิโลเฮิรตซ์
- ค้างคาว ส่งเสียงล่าเหยื่อ จีบสาว ประกาศอาณาเขตที่ความถี่ได้ตั้งแต่ 14 จนถึงมากกว่า 100 กิโลเฮิรตซ์
- หนู ในภาวะเครียด ส่งเสียงระบายอารมณ์ที่ความถี่ 20 กิโลเฮิรตซ์ ส่วนลูกหนูที่เครียดจัดๆ จะปลดปล่อยเสียงได้ความถี่ถึง 30-50 กิโลเฮิรตซ์
- กบบางชนิดที่อาศัยอยู่ใกล้น้ำตก ไม่อยากตะโกนแข่งกับเสียงน้ำตก พวกมันส่งเสียงร้องที่ความถี่สูงกว่า 128 กิโลเฮิรตซ์
- ทาร์เซีย ที่บางคนว่าเป็นต้นแบบของเฟอร์บี้ ในบางครั้งมันก็สามารถส่งเสียงอัลตราโซนิกได้เช่นกัน ทาร์เซียที่พบในฟิลิปปินส์ส่งเสียงที่ความถี่สูงถึง 91 กิโลเฮิรตซ์
ในธรรมชาติ เราอาจจะไม่เคยได้ยินเสียงอัลตราโซนิกของสัตว์เหล่านี้ แต่ด้วยความก้าวล้ำทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อะไรก็เป็นไปได้ University of Lincoln อัพโหลดเสียงอัลตราโซนิกของตั๊กแตนหนวดยาว Arachnoides เวอร์ชั่นสำหรับคนหูไม่ถึงอย่างพวกเราไว้แล้วที่ http://www.youtube.com/watch?v=YF7udd73Xnw อยากรู้เสียงเป็นอย่างไรลองไปฟังกันดู


