ความพัวพันของมุสลิมกับพุทธในจีน
ที่คุนหมิงมีสถานที่สำคัญแห่งหนึ่ง คือหลุมศพของซัยยิด อัจญัล ชาม อัลดิน อุมัร (赛典赤·赡思丁) เป็นข้าหลวงมณฑลหยุนหนาน
โดย...กรกิจ ดิษฐาน
ที่คุนหมิงมีสถานที่สำคัญแห่งหนึ่ง คือหลุมศพของซัยยิด อัจญัล ชาม อัลดิน อุมัร (&&6187;&>0856;&&6196;·&&6193;&>4605;&<9969;) เป็นข้าหลวงมณฑลหยุนหนาน สมัยราชวงศ์หยวน คุณงามความดีของท่านผู้นี้คือ เป็นมุสลิมที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ส่งเสริมการศึกษาแบบขงจื๊อ เปิดโรงเรียนแห่งแรกในหยุนหนาน สั่งให้สร้างวัดพุทธแห่งหนึ่ง กับมัสยิดอีก 2 แห่ง เวลานั้นหยุนหนานเป็นดินแดนที่พุทธศาสนารุ่งเรือง แม้จะมีข้าหลวงเป็นมุสลิม แต่ก็ใจกว้างดั่งมหาสมุทร วิสัยทัศน์ยาวไกล ส่งเสริมศีลธรรมจรรยาแบบขงจื๊อ จนหยุนหนานเป็นแดนอารยะเทียบเท่าจงหยวน ทุกวันนี้ชาวพุทธและมุสลิมในแถบนั้นก็อยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง สุสานของซัยยิด อัจญัล ชาม อัลดิน อุมัร ยังเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ
ไม่เท่านั้น ซัยยิด อัจญัล ชาม อัลดิน อุมัร ยังเป็นบรรพชนของเจิ้งเหอ ขันทีนักเดินเรือชื่อก้องโลกสมัยราชวงศ์หมิง
เจิ้งเหอเองก็มีจิตใจกว้างขวางเหมือนบรรพชน แม้จะเป็นมุสลิมแต่ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้อุปถัมภ์พุทธศาสนา เช่น พระเจ้าหย่งเล่อทรงสั่งให้เจิ้งเหอเป็นแม่กองจัดพิมพ์พระไตรปิฎกถึง 9 ครั้ง เป็นแม่กองบูรณะพระเจดีย์กระเบื้องเคลือบวัดต้าเป้าเอิน ที่นครหนานจิง จนแล้วเสร็จโดยไว หลังจากทางวัดสร้างเองแต่ล่าช้าถึง 13 ปี
มีหลักฐานว่า ในช่วงบั้นปลายชีวิต เจิ้งเหอปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง จึงมีฉายาว่า ซานเป่ากง หรือซำป่อกง แปลว่า ท่านพระไตรรัตน์ คำว่า ซำป่อกง นี้ชาวจีนโพ้นทะเลยังนำมาใช้เรียกพระพุทธรูปองค์โต เพื่อรำลึกถึงเจิ้งเหอที่เคยอุปถัมภ์พุทธศาสนาในดินแดนทะเลใต้ เช่น หลวงพ่อซำป่อกง (พระเจ้าแพนงเชิง) เมืองอยุธยา ที่เจิ้งเหอเคยนำกองเรือมาแวะ
จะว่าไปแล้ว ในประเทศจีน มุสลิมและพุทธมีความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาดพอสมควร เฉพาะในแถบทิเบตยิ่งซับซ้อนยิ่ง
คราวที่ดาไลลามะองค์ที่ 14 (องค์ปัจจุบัน) สมภพที่ชิงไห่ ในเขตปกครองของขุนพลมุสลิมสกุลหม่า (แซ่หม่าเป็นแซ่ยอดนิยมของมุสลิมในจีน เจิ้งเหอก็ใช้แซ่นี้ก่อนเปลี่ยนมาแซ่เจิ้ง) พวกทิเบตต้องมาขอตัวดาไลลามะที่เพิ่งกลับชาติมาเกิดใหม่จากขุนพลหม่าปู้ฟาง ซึ่งเป็นเจ้าถิ่น แต่ขุนพลหม่าอิดออดเรียกค่าใช้จ่ายหลายแสนหยวน แต่ที่แปลกคือหม่าปู้ฟางขอพระไตรปิฎกกับอรรถกถาภาษาทิเบตด้วย 1 ชุด
การเจรจาต่อรองยืดเยื้อยาวนาน กระทั่งข้าหลวงทิเบตต้องไปขอความช่วยเหลือจากเจียงไคเช็ก (ซึ่งเป็นคริสเตียน) ให้มาช่วยปลดล็อกให้ สุดท้ายจึงได้เด็กน้อยจากชิงไห่ กลับไปดำรงตำแหน่งประมุขพุทธจักรแห่งทิเบต ในฐานะดาไลลามะองค์ที่ 14
แต่เรื่องยังไม่จบเท่านี้ ต่อมาเมื่อดาไลลามะเติบใหญ่ขึ้น เกิดความขัดแย้งกับองค์ปันเชนลามะ ประมุขอันดับ 2 ของนิกายหมวกเหลือง และนิกายหมวกแดง ปันเชนลามะกับนิกายหมวกแดงจึงลี้ภัยมาขอพึ่งใบบุญหม่าปู้ฟาง และขอให้ส่งกองทัพไปกำราบอีกฝ่าย หม่าปู้ฟางพยายามเกลี้ยกล่อมแต่ไม่เป็นผล ปันเชนลามะจึงหันไปสวามิภักดิ์กับรัฐบาลคอมมิวนิสต์
ผลก็คือทิเบตถูกรัฐบาลคอมมิวนิสต์ผนวกเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของจีน ปันเชนลามะองค์ที่ 10 ถูกปลดและคุมขัง ส่วนดาไลลามะองค์ที่ 14 ต้องลี้ภัยไปอยู่อินเดียจนกระทั่งบัดนี้
ส่วนหม่าปู้ฟาง เผ่นคอมมิวนิสต์ไปอยู่ที่ไต้หวัน มีชีวิตที่ค่อนข้างลำบากน้อยกว่าใครเพื่อนในความขัดแย้งครั้งนั้น


