กงเต๊ก-เมื่อท่านอยู่ต้องดูแล เมื่อท่านตายก็ต้องทำพิธี
คำว่า กงเต๊ก (功德) เป็นภาษาจีนสำเนียงแต้จิ๋วแปลว่า ทำกุศล พิธีสวดกงเต๊กจึงอาจแปลได้ว่า พิธีสวดบำเพ็ญกุศล
โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์
คำว่า กงเต๊ก (&>1151;&>4503;) เป็นภาษาจีนสำเนียงแต้จิ๋วแปลว่า ทำกุศล พิธีสวดกงเต๊กจึงอาจแปลได้ว่า พิธีสวดบำเพ็ญกุศล ซึ่งชาวไทยเชื้อสายจีนเข้าใจกันดีว่า เป็นพิธีทางพุทธศาสนานิกายมหายานที่ทำบุญอุทิศให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว
ที่มาของพิธีกงเต๊กมีหลากหลาย โดยแรกสุดอยู่ในพระสูตรของนิกายมหายาน…เมื่อครั้งที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ เชตวันวิหาร กรุงสาวัตถี พร้อมด้วยเหล่าภิกษุที่ติดตามฟังพระธรรมเทศนา ในวันหนึ่งเมื่อปัจฉิมยาม (ตี 2 ถึง 6 โมงเช้า) มีเทพบุตรองค์หนึ่งพร้อมบริวารเหาะลงมาสักการบูชาพระพุทธองค์ แล้วนั่งลงที่ข้างหนึ่งเพื่อฟังพระธรรมเทศนา เมื่อพระพุทธองค์ทอดพระเนตรเห็นเทพบุตรนั้น ก็รู้แจ้งในอดีตของเทพบุตรด้วยพระญาณอันวิเศษ
พระพุทธองค์ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า “เดิมเทพบุตรนี้เป็นบุตรเศรษฐีเมืองสาวัตถี เขาได้ฆ่ามารดาแล้วคิดหนีความผิดด้วยการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ แต่เมื่อได้อุปสมบทแล้วก็เล่าเรียนศึกษาพระธรรมวินัยเคร่งครัด ไม่เกียจคร้านวัตรปฏิบัติไม่ด่างพร้อย ต่อมาได้เป็นพระมหาเถรและเป็นพระอุปัชฌายาจารย์ก็ยิ่งเอาใจใส่สั่งสอนภิกษุสามเณร มีจิตเมตตาผู้ตกทุกข์ได้ยาก ต่อมาได้ถึงแก่มรณภาพ แต่ด้วยกรรมมาตุฆาตทำให้ต้องตกนรกอเวจี”
“ศิษย์รูปหนึ่งที่ได้ฌานแก่กล้าเห็นอาจารย์อยู่ในอบายภูมิ จึงบอกเล่าให้เพื่อนภิกษุอื่นที่เป็นศิษย์ด้วยกันฟัง ศิษย์ทั้งหลายได้ฟังแล้วสงสารพระอาจารย์ จึงร่วมทำพิธีกงเต๊กอุทิศให้พระอาจารย์ ฝ่ายพระอาจารย์เมื่อได้รับผลบุญที่ศิษย์ส่งให้ประกอบกับผลความดีของตัวพระอาจารย์เอง ทำให้เขาได้พ้นทุกข์ไปเสวยสุขบนสวรรค์ และได้นำเครื่องสักการบูชามานมัสการเราในวันนี้
นี่จึงเป็นที่มาของแนวคิดการทำพิธีกงเต๊ก ที่เปิดทางให้คนเป็นสามารถทำพิธีอุทิศให้ผู้ล่วงลับได้ ส่วนบทสวดทั้งหลายที่ใช้ในพิธี ว่ากันว่ามีที่มาจากสมัยฮ่องเต้เหลียงอู่ตี้ (ค.ศ. 464-549) ฮ่องเต้ราชวงศ์เหลียงในยุคราชวงศ์เหนือใต้ (องค์เดียวกับที่ในประวัติของนิกายเซนว่าไว้ว่าได้สนทนาธรรมกับพระตั๊กม้อ เมื่อพระตั๊กม้อเริ่มเข้ามาเผยแผ่ศาสนาพุทธนิกายเซนในแผ่นดินจีน)
ฮ่องเต้เหลียงอู่ตี้เป็นฮ่องเต้ที่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนามากที่สุดพระองค์หนึ่งของจีน ท่านทรงถือศีล สร้างวัด ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาจนได้รับฉายาว่า “พระเจ้าอโศกแห่งแผ่นดินจีน” ตำนานว่าไว้ว่า แม้ฮ่องเต้เหลียงอู่ตี้จะศรัทธาในพุทธศาสนามาก แต่มเหสีจีฮุยของท่านมีอุปนิสัยอาฆาตมาดร้าย ทั้งยังเกลียดชังพระพุทธศาสนา นางเสียชีวิตลงไปด้วยวัยเพียง 30 ปี ด้วยผลกรรมนางจึงไปเกิดเป็นงูยักษ์ วันหนึ่งได้มาเข้าฝันเพราะเจ้าเหลียงอู่ตี้ เมื่อฮ่องเต้ทราบเรื่องจึงอัญเชิญพระเถระเป่าจื้อ มาทำพิธีบำเพ็ญกุศลขอขมา โดยฮ่องเต้เหลียงอู่ตี้และพระเถระเป่าจื้อ ได้แต่งบทสวดขอขมาขึ้น 10 บท เพื่อใช้ในพิธีนี้
หลังจากประกอบพิธี พระมเหสีทรงเข้าฝันอีกรอบ เพื่อแจ้งว่านางได้เกิดในสุคติภพแล้ว บทสวดที่ฮ่องเต้เหลียงอู่ตี้ร่วมแต่งขึ้น กับพระเถระเป่าจื้อ จึงพัฒนามาเป็นบทสวดส่วนหนึ่งที่นำมาใช้ในพิธีกงเต๊กจนถึงทุกวันนี้เนื้อหาบทสวดที่ใช้กันอยู่ เริ่มต้นด้วยการบอกเทพทั้งหลายว่าจะทำพิธีบำเพ็ญกุศลให้กับผู้ตาย ซึ่งมีลูกหลานและลูกสะใภ้ชื่ออะไร มีทั้งหมดกี่คน
แล้วท่องบทอัญเชิญพระโพธิสัตว์มาเป็นพระประธาน สวดเชิญดวงวิญญาณผู้ล่วงลับ รวมถึงพ่อแม่ที่เสียชีวิตไปแล้วมาร่วมทานอาหาร ส่วนบทขับร้องที่มีทำนองเศร้าโศก มีทั้งขับร้องเกี่ยวกับคุณงามความดีของผู้ตาย ความยากลำบากในการฟูมฟักลูกหลาน และบทสวดที่แฝงคำสอนในชีวิตเรื่องการพลัดพรากจากกัน และความไม่จีรังของชีวิตทั้งปวง
ต้นกำเนิดของพิธีกงเต๊กจริงเริ่มที่พิธีสวดมนต์อุทิศให้ผู้ล่วงลับ ส่วนพิธีกรรมเสริมอื่นๆ เกิดขึ้นเมื่อไหร่ไม่ได้มีบันทึกไว้ชัดเจน แต่อย่างน้อยในวรรณกรรมเรื่องผู้ยิ่งใหญ่แห่งเขาเหลียงซาน (ซ้องกั๋ง) ซึ่งเป็น 1 ใน 4 สุดยอดวรรณกรรมจีน ก็มีการบรรยายถึงพิธีกงเต๊กไว้แล้ว แสดงให้เห็นว่า พิธีกงเต๊กน่าจะมีแพร่หลายทั่วไปมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง แน่นอนว่ารายละเอียดของพิธีกรรมต่างๆ ในแต่ละท้องถิ่น ก็มีความแตกต่างกันไป ประเพณีกงเต๊กที่เราเห็นกันอยู่ในไทยทุกวันนี้เป็นธรรมเนียมที่นิยมปฏิบัติกันใน
ท้องถิ่นแถบฮกเกี้ยน แต้จิ๋ว รวมถึงในเวียดนาม
ภาพจำของพิธีกรรมกงเต๊กในใจหลายๆ คนคงไม่พ้นการเดินข้ามสะพานพาดวงวิญญาณผู้ล่วงลับไปส่งยังเขตแดนสวรรค์ ภาพโครงเสื้อผ้าผู้ล่วงลับแขวนบนปลายไม้ไผ่ยาวเดินนำหน้า ตามมาด้วยขบวนลูกหลานที่เดินมาส่ง ประกอบบทสวดที่มีน้ำเสียงโศกเศร้า เป็นภาพและเสียงที่ยากจะลืม โดยเฉพาะในจิตใจของลูกหลานที่ยังผูกพันกับผู้ล่วงลับอยู่
พิธีกงเต๊กที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ แม้ได้ชื่อว่าเป็นหลักพิธีของพุทธศาสนานิกายมหายานแต่จากใจความและบรรยากาศของพิธีแล้วบอกได้ว่า มีกลิ่นอายลัทธิเต๋า ลัทธิขงจื่อเข้ามาผสมผสานอย่างเข้มข้นศาสนาพุทธนิกายมหายานปรากฏอยู่ในพิธีกงเต๊กด้วยบทสวดพระธรรมต่างๆ
ส่วนลัทธิเต๋าร่วมสร้างตัวตนให้กับดวงวิญญาณของผู้ตายในพิธีกรรม โดยมีลัทธิขงจื่อเสริมแต่งมิติด้านความกตัญญูรวมถึงพิธีกรรมบูชาเซ่นไหว้บรรพชน อันที่จริงตัวขงจื่อเองปฏิเสธที่จะพูดถึงโลกหลังความตายมาโดยตลอดครั้งหนึ่งศิษย์ของขงจื่อถามขงจื่อด้วยความอยากรู้เรื่องชีวิตหลังความตาย ขงจื่อตอบว่า “ยังไม่รู้จักการมีชีวิตดี จะรู้เรื่องโลกหลังความตายได้อย่างไร”
แต่ขงจื่อก็สนับสนุนพิธีกรรมบูชาบรรพบุรุษต่างๆ ขงจื่อกล่าวว่า “เป็นคนต้องกตัญญู เมื่อท่านอยู่ต้องดูแล เมื่อท่านตายก็ต้องทำพิธี” อีกทั้งสนับสนุนให้ “กระทำพิธีกรรมต่อผู้ล่วงลับประหนึ่งท่านยังมีชีวิต” พิธีกรรมกงเต๊กหากพิจารณาจากอิทธิพลของแนวคิดของขงจื่อ (ซึ่งตัดความเชื่อเรื่องโลกหน้าไป) จึงเป็นทั้งด้านการจัดการจิตใจ คือให้ลูกหลานได้ส่งผู้มีพระคุณโดยไม่ค้างคาใจว่าผู้ล่วงลับจะไปอยู่ที่ไหน สบายดีหรือไม่ เพื่อแยกแยะโลกของผู้มีชีวิตกับโลกของผู้ล่วงลับไม่ปะปนงมงายหรือเศร้าโศกจมปลัก และให้ลูกหลานได้มีโอกาสแสดงความกตัญญูแม้บรรพบุรุษจะจากเราไปแล้ว ความกตัญญูที่แสดงออกทั้งต่อหน้า (เมื่อท่านมีชีวิต) และลับหลัง (เมื่อท่านจากไปแล้ว) ประหนึ่งท่านยังมีชีวิตอยู่ เป็นความกตัญญูที่วัฒนธรรมจีนต้องการ มิใช่
ความกตัญญูแบบแมวไม่อยู่หนูร่าเริง ตายแล้วก็แล้วกันไป ซึ่งในกรณีหลังขงจื่อถือว่าไม่ใช่แบบอย่างของความเป็นมนุษย์ที่ดีพิธีสวดกงเต๊กจึงถูกออกแบบมาจากสามวัฒนธรรมที่ประสานกันอยู่อย่างแน่นแฟ้น และไม่ใช่ตัวแทนของความเชื่อในแนวคิดใดโดดๆ แต่เป็นภาพตัวแทนของการแสดงกตัญญูที่จับต้องได้ ซึ่งลูกหลานจีนจะทำให้กับบรรพชนของตน


