posttoday

คำให้การ…ครูช่างกล-นักเลงกลับใจ

03 กันยายน 2553

‘การคัดเด็กต้องมีคุณภาพ ไม่ใช่ว่ารับมาให้เป็นนักเลง แค่อยากประกาศศักดาตัวเองให้เพื่อนยอมรับ’

‘การคัดเด็กต้องมีคุณภาพ ไม่ใช่ว่ารับมาให้เป็นนักเลง แค่อยากประกาศศักดาตัวเองให้เพื่อนยอมรับ’

 โดย...กันติพิชญ์ ใจบุญ

 

คำให้การ…ครูช่างกล-นักเลงกลับใจ

นักเรียนนักเลงเป็นปัญหาหมักหมมมานาน ต่อให้ร้อยเซียนมาร่วมกันแก้ก็แก้ไม่ได้ จนสร้างความเดือดร้อนเอือมระอาต่อประชาชนโดยทั่วไป โดยเฉพาะ “ความซวย” ของผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ที่ต้องพลอยรับเคราะห์กรรมจากการทะเลาะวิวาทฆ่ารันฟันแทงกันเสมือนเพื่อนร่วมชาติเป็นศัตรูกันมาแต่ปางก่อน

กรณีเด็กนักเรียนเทคโนโลยีบางกะปิ ยกพวกถล่มคู่อริจากโรงเรียนเทคโนโลยีช่างอุตสาหกรรมกรุงเทพ และใช้ปืนยิงใส่รถเมล์สาย 113 ย่านมีนบุรี จนเป็นเหตุให้เด็กนักเรียนชั้น ป.3 วัยแค่ 9 ขวบ ต้องมาสังเวยเสียชีวิต เป็นเรื่องน่าสลดหดหู่และเจ็บปวดใจของผู้คนในสังคม

จะว่าไปแล้วปัญหาเด็กช่างกลเสมือนตราบาปคอยหลอกหลอนสังคมไทย แม้กระทั่งครู ผู้ปกครอง รวมทั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบก็ไม่สามารถหาทางออกจากปัญหานี้ได้

ล่าสุดกระทรวงศึกษาธิการ ได้ออกมาล้อมคอกเรื่องดังกล่าว ด้วยการเรียกผู้บริหารสมาคมอาชีวะศึกษา และผู้อำนวยการโรงเรียนต่างๆ ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง รวมถึงสมาคมผู้ปกครองมาร่วมหารือในการหามาตรการป้องกัน โดยได้ขู่จะใช้มาตรการปิดโรงเรียน ตัดเงินอุดหนุน กระทั่งถอนใบอนุญาตสถาบันการศึกษาที่มีเด็กก่อเหตุซ้ำซาก

จะอย่างไรก็ตาม..เชื่อแน่ว่าปัญหานี้จะเพียงเป็นไฟไหม้ฟาง ไม่นานนักเรียนนักเลงก็โผล่มาอาละวาดกันรอบใหม่ ไม่รู้จักจบสิ้น

มาโนช เกตุกระจ่าง รองผู้อำนวยการฝ่ายกิจการนักศึกษา โรงเรียนเทคโนโลยีบางกะปิ เปิดเผยว่า โรงเรียนเทคโนโลยีบางกะปิก่อตั้งมาเมื่อปี 2524 หรือ 29 ปีที่แล้ว เปิดสอนทั้งระดับ ปวช.-ปวส. ใน 4 สาขาวิชา เพื่อป้อนบุคลากรสู่ตลาดแรงงาน ประกอบด้วย เครื่องกล ช่างไฟฟ้ากำลัง ช่างอิเลคทรอนิกส์ และธุรกิจคอมพิวเตอร์ มีนักเรียนทั้งหมดประมาณ 900 คน

“เด็กนักเรียนส่วนใหญ่จะอยู่ในละแวกใกล้เคียง แต่ก็ยังมีเด็กจากที่อื่นมาเรียนด้วยบ้าง เพราะโรงเรียนมีชื่อเสียง นักเรียนจบออกไปสังคมก็ยอมรับในฝีมือการช่าง สังคมก็ยอมรับกันทั้งหมด แต่เรื่องที่เกิดขึ้นอยู่นอกเหนือขอบเขตที่อาจารย์จะดูแลได้ เพราะปกติผมจะเข้าไปคอยดูแลการขึ้นรถของนักเรียนอยู่ตลอดทุกวันบริเวณคู้ขวา ย่านมีนบุรี เพื่อสังเกตและดูความปลอดภัย

เพราะเกรงว่าจะมีการทำร้ายจากนักเรียนต่างสถาบัน แต่โดยรวมก็คือเพื่อควบคุมพฤติกรรมเด็กของเรา ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางหรือทำอะไรที่รุนแรง เพราะขณะนี้ต้องยอมรับว่ายังมีกลุ่มหัวโจกอยู่ในโรงเรียนมาก แต่ก็ต้องคอยดูแลสั่งสอนกันต่อไป ผมขอยืนยันว่าไม่มีการยุยงส่งเสริมให้นักเรียนมีพฤติกรรมที่รุนแรงแน่”

มาโนช อธิบายว่า โดยธรรมชาติของเด็ก เมื่อเห็นอาจารย์ผู้สอนก็ไม่กล้าทำอะไร เพราะมีความเคารพและเกรงกลัวโทษ แต่เหตุการณ์น่าสลดที่เกิดขึ้นอยู่ในช่วงเช้า อาจารย์ยังไม่สามารถไปควบคุมดูแลได้ บางคนยังไม่ออกจากบ้านเสียด้วยซ้ำ ทำให้เกิดเรื่องราวสะเทือนใจขึ้น

“สาเหตุปัญหาเด็กช่างกลตีกันที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถาบัน เพียงแต่มีการอ้างชื่อเพื่อเป็นองค์ประกอบในการกระทำรุนแรงของเด็กช่างเท่านั้นส่วนใหญ่จะเป็นความคึกคะนอง มีพฤติกรรมเลียนแบบ เพื่อนมากลากไป หรือต้องการให้เป็นที่ยอมรับในหมู่เพื่อน จึงต้องใช้ความรุนแรง ซึ่งถือเป็นแนวคิดที่ผิดๆ”

“หรือบางคนอาจจะมีปัญหามาจากครอบครัว พ่อแม่แยกทางกัน เด็กก็ไม่รู้จะเดินต่อไปทางไหน จึงต้องเข้ามาร่วมกลุ่มเพื่อน หรือบ้างก็เป็นเด็กหัวอ่อน ไม่ถนัดทางด้านวิชาการ จึงต้องมาเรียนสายช่าง ซึ่งเมื่อทั้งหมดมารวมกัน ร่วมรับรู้ทุกข์สุขกันแบบหัวอกเดียวกันก็เลยพากันเลยตามเลย ไม่สนอะไรทั้งนั้น ฟังแต่เพื่อน จึงแสดงออกมาในรูปแบบความรุนแรงและสุดท้ายก็ตกเป็นจำเลยสังคม เพราะไปสร้างความเดือดร้อน ไม่เพียงแต่เด็กเท่านั้น แต่สถาบัน อาจารย์ก็ถูกพ่วงโยงไปด้วย”

 “อาจารย์หรือโรงเรียนก็พยายามจะออกมาตรการเพื่อป้องกันเหตุทุกทาง ไม่ใช่ว่าปล่อยปละละเลย จะมีการตรวจอาวุธอยู่เป็นประจำ เช่น ปืน ถ้าหากพบก็ให้ออกจากโรงเรียนทันที เพราะเราไม่เลี้ยงงูเห่าไว้แน่ เพราะหากไปเกิดเหตุข้างนอกสังคมก็จะได้รับอันตราย แต่หากโดนคู่กรณีก็แล้วกันไป เพราะหากว่ากันตามตรง เด็กเทคโนโลยีบางกะปิ ก็ถูกยิงตายมาแล้วเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมาเช่นกัน”

มาโนช กล่าวต่อว่า จะว่าไปแล้วทั้งโรงเรียนเทคโนโลยีบางกะปิและโรงเรียนเทคโนโลยีช่างอุตสาหกรรกรุงเทพ ตั้งอยู่ไม่ห่างกันมาก จึงกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด ทางผู้บริหารทั้งสองโรงเรียนก็ได้ปรึกษากันเป็นประจำเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้น ทั้งปรับเวลาการเข้าเรียน-เลิกเรียนให้เหลื่อมล้ำกัน เพื่อป้องกันการเผชิญหน้า แต่ก็เหมือนจะแก้ปัญหานี้ได้ยากเต็มที

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะมีปัญหานักเรียนนักเลง แต่โดยรวมเด็กๆ ต่างก็ตั้งใจเรียนเพื่อศึกษาหาความรู้กันอย่างเต็มที่ จะสังเกตได้จากการสำเร็จการศึกษา ทั้งในระดับ ปวช.และ ปวส.ที่จบออกไปทำงานกันเยอะมาก แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่จบ ประมาณ 2-3% เท่านั้น สาเหตุก็หนีไม่พ้นการติดเพื่อน หรือกลุ่มที่เข้ามาเป็นเด็กช่างเพื่อความเท่ และต้องการประกาศศักดาของตนเองในการทะเลาะวิวาท บอกได้เลยว่าใครปฏิบัติตัวเช่นนี้ก็หมดอนาคตแน่

 “เด็กที่ผมสอนไม่ได้มีความรุนแรงมาแต่เกิด เพียงแต่สังคมเพื่อน และการอยู่รวมกันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางรุนแรง ถึงแม้อาจารย์จะสอนดีสักเท่าใด แต่เมื่อเด็กไม่เอา ทุกอย่างก็จบ คงจะบังคับกันยาก แต่ลึกๆ ผมเชื่อว่าเด็กนักเรียนช่างทุกคนล้วนแล้วแต่อยากเป็นคนดี แต่เมื่อกระแสน้ำพาไปตัวเองก็ต้องไหลไปตามน้ำเช่นกัน

ดังนั้นผู้บริหารต้องวางรากฐานกันใหม่ ต้องคัดเด็กนักเรียนให้มากขึ้น ไม่มองเป็นธุรกิจที่จะรับจำนวนเท่าใดก็ได้เพื่อมาเรียน แต่ไม่คัดคุณภาพ ส่งผลให้สังคมต้องได้รับความเดือดร้อน เพราะร้อยพ่อพันแม่ต่างก็มาอยู่ด้วยกัน และเด็กที่ไม่ดีก็มีมาก ดังนั้น การคัดเด็กเพื่อจะไปเป็นแรงงานช่างที่มีคุณภาพจึงมีความสำคัญอย่างมาก ไม่ใช่ว่ารับมาเพื่อให้มาเป็นนักเลง” อาจารย์ฝ่ายกิจการนักศึกษาเทคโนโลยีบางกะปิ ย้ำ

อีกมุมมอง ก้อง (นามสมมุติ) อายุ 23 ปี อดีตเด็กนักเรียนช่างกลย่านบางกะปิ ที่ปัจจุบันต้องผันตัวเองมาขายกาแฟเพื่อเลี้ยงดูตนเอง ต้องอดทำตามฝันที่ต้องการจะเป็นช่างไฟฟ้ามืออาชีพ เพียงเพราะคิดผิดชั่ววูบไปตามกระแสนักเรียนนักเลงกับเพื่อน จนทำให้อนาคตการศึกษาต้องดับวูบลง

ก้อง เปิดเผยว่า เคยเป็นนักเรียนช่างไฟฟ้าที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ตั้งใจจะเป็นช่างไฟฟ้า เพราะรู้ว่าตัวเองหัวอ่อนในเรื่องวิชาการ คิดว่าวิชาชีพช่างน่าจะเป็นทางเลือกในการทำงาน แม้จะทราบว่า เด็กช่างกลมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันบ่อย ผู้ปกครองก็คอยเตือนเช่นกัน แต่ก็ไม่มีทางเลือก จึงตัดสินใจเข้าเรียนช่าง และตั้งใจว่าจะไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องการทะเลาะวิวาท

“แต่แล้วก็ทำไม่ได้ เพราะเมื่อคุณเข้าไปแล้ว สังคมจะใหญ่มาก หากไม่ทำก็จะกลายเป็นแกะดำในกลุ่มเพื่อนทันที ยอมรับว่าเด็กช่างกลน้อยคนนักที่จะเข้ามาเรียนอย่างจริงจัง ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ไม่มีทางเลือกในการเรียนแล้วหรือพวกที่เกเร ทำให้ในโรงเรียนก็เหมือนมีแต่กลุ่มนักเลงที่พร้อมจะประกาศศักดาตัวเองกับโรงเรียนอื่นๆ ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงการคบกับกลุ่มคนเหล่านี้แทบจะไม่ได้ อันที่จริงผมก็ยอมรับว่า หากตัวเองไม่เข้าไปยุ่งด้วยเสียอย่างใครจะพาเราเสีย แต่ผมดันเลือกที่จะเข้าไปอยู่ด้วยเอง เพียงเพื่อต้องการให้เพื่อนยอมรับเท่านั้น ต่อมาก็ไปอยู่ในกลุ่ม และไปเจอโรงเรียนคู่อริก็พร้อมที่จะวิ่งเข้าไปทำร้ายกันทันที”

“เมื่อเข้าไปอยู่ในกลุ่มแล้วก็ต้องมีผลงาน การทำร้ายอริต่างสถาบันทั้งที่ไม่เคยมีเรื่องกันมาก่อน เป็นสิ่งที่ต้องทำ หรือแม้แต่กลุ่มที่ไม่ใช่เด็กช่างด้วยกัน หากเกิดการหมั่นไส้ก็พร้อมจะลุยทันที ซึ่งยอมรับว่าช่วงนั้นทำไปด้วยความคึกคะนอง สนุกสนาน แต่เมื่ออยู่คนเดียว เดินทางคนเดียว ก็ต้องมีความระมัดระวังเพิ่มมากยิ่งขึ้น กลายเป็นว่าระแวงว่าจะถูกเอาคืน หรือถูกกลุ่มอริเล่นงานเอา ชีวิตก็ไม่มีความสุข และยังเรียนไม่ได้ เอาแต่ติดเพื่อน จนทำให้ตัวเองต้องหยุดเรียนในที่สุด”

 “เมื่อมองย้อนกลับไป ผมก็เสียดายโอกาสในการเรียน เมื่อยิ่งมาเห็นชีวิตตนเองเป็นอย่างนี้ทำให้มองเห็นว่าการเรียนเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่ก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว และเพื่อนๆ หลายคนที่เคยเกเรมาด้วยกันต่างก็ยังไม่หยุด ยังคงหาเรื่องทะเลาะวิวาทอยู่ สร้างความเดือดร้อนให้สังคมต่อไป ผมก็ไม่ขอเตือนกลุ่มนักเรียนนักเลง เพราะเชื่อว่าหากพวกเขาต้องการที่จะทำอย่างนี้แล้ว ก็ต้องพร้อมที่จะยอมรับผลกรรมที่ตามมา สุดท้ายก็แล้วแต่ใครจะเป็นอย่างไรต่อไป เพียงแต่อยากฝากถึงสังคม หากเห็นการจับกลุ่ม หรือสุ่มเสี่ยงที่จะทะเลาะวิวาท ทางออกที่ดีที่สุดคือออกจากพื้นที่นั้น และก็แจ้งตำรวจทันทีเพื่อให้เข้าระงับเหตุได้ทัน ก่อนที่จะกลายเป็นเหตุการณ์ที่น่าสลดเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา” ก้องเล่าด้วยสำนึก

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์-FWD คว้า 3 รางวัล Adman Awards 2025 ตอกย้ำเข้าถึงลูกค้าทุก Gen ด้วย "ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย"