รัฐบาลต้องขอสื่อได้ ระวังมาตรา 44 คลอดกฎหมายสื่อ
"อย่าไปกังวลกันมาก นักการเมืองมาแทรกแซง นักการเมืองในอดีตไม่ได้เรื่อง ผมยอมรับ แต่ปัจจุบันนักการเมืองจะดีขึ้นเรื่อยๆ กกต.เขาออกกฎระเบียบเข้มงวดมากขึ้น ตรงนี้จะทำให้นักการเมืองระวังตัวหากคิดที่จะทำอะไร"
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชนที่ทางคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านการสื่อสารมวลชน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ชุดที่ พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร เป็นประธาน ถูกองค์กรวิชาชีพสื่อคัดค้านอย่างหนัก
เหตุผลที่องค์กรสื่อขอให้ยุติการออกกฎหมายฉบับนี้ เพราะมองว่าเนื้อหาของร่างฯ เปิดทางให้รัฐเข้ามาแทรกแซงสื่อ โดยเฉพาะที่กำหนดให้คณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติจาก 4 ใน 13 คน ต้องมาจากผู้แทนภาครัฐโดยตำแหน่ง จาก 4 ปลัดกระทรวง ประกอบด้วย ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และมีอำนาจขึ้นทะเบียนและเพิกถอนใบอนุญาตสื่อมวลชนได้ทุกประเภท รวมถึงลงโทษปรับทางปกครอง
ประเด็นเหล่านี้นอกจากจะกระทบสิทธิเสรีภาพการทำงานของสื่อในการตรวจสอบหน่วยงานภาครัฐโดยตรง ยังอาจกระทบต่อการรับรู้ข่าวสารของประชาชน โดยความคืบหน้าขณะนี้ ทางคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (วิป สปท.) ได้ตีกลับให้ กมธ.ชุดนี้ไปทบทวนแก้ไขในประเด็นที่สื่อคัดค้าน และให้นำเสนอมายังวิปอีกครั้งสัปดาห์หน้าเพื่อเข้าที่ประชุมใหญ่ สปท. จากนั้นจะส่งให้คณะรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติแห่งชาติดำเนินการออกเป็นกฎหมายต่อไป
โพสต์ทูเดย์ พูดคุยกับ พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร ประธาน กมธ. หัวหอกคุมเกมร่างกฎหมายฉบับนี้ หลังการแถลงข่าวของ กมธ.และเจ้าตัว ชี้แจงถึงที่มาและแนวคิดในการร่างกฎหมาย ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะออกมาสนับสนุน กมธ. เต็มตัวและยืนยันต้องมีสภาวิชาชีพสื่อมากำหนดมาตรฐานจริยธรรมการนำเสนอข่าว
พล.อ.อ.คณิต เริ่มต้นด้วยการตอบคำถามทีมงานที่ว่า ผู้ที่ร่างกฎหมายนี้ไม่ใช่บุคคลในวิชาชีพสื่อ แต่กลับมาออกกฎหมายกำกับสื่อ ทำให้ขาดความเข้าใจต่อการทำงานของสื่อ โดยเจ้าตัวยอมรับว่า แม้ไม่ได้มาจากสื่อจริงเพราะเป็นทหารอากาศ ขับเครื่องบินเอฟ 16 มาก่อน แต่ก็เป็นนักบริหาร ที่สำคัญเคยเป็นเลขานุการของ พล.อ.อ.ธเรศ บุญศรี ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งบอร์ด กสทช. ได้ส่งเข้ามาสมัครเป็นสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เพื่อประสานการดูแลเรื่องคลื่นความถี่
“สปช.ยุคก่อนมีแต่บุคคลในวงการสื่อ ทำให้กระบวนการคิดจึงอยู่แต่ในกรอบสื่อ จึงมองว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จมักคิดนอกกรอบ ฉะนั้นการที่นำคนนอกวงการสื่อมาอยู่ในสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ จะทำให้มุมมองความเห็นที่หลากหลาย เพราะสื่อมักเชี่ยวชาญอยู่แต่ในวงการ” พล.อ.อ.คณิต กล่าว
ประธาน กมธ.สื่อ ยกตัวอย่าง นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ และ อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต ทั้งคู่ต่างเป็นแพทย์แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จสายวิชาชีพ แต่ไปประสบความสำเร็จทางด้านธุรกิจ
ประเด็นที่องค์กรสื่อคัดค้านหลักๆ คือ การให้ 4 ปลัดกระทรวงเข้ามาเป็นคณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อจากจำนวน 13 คน พล.อ.อ.คณิต ชี้แจงว่า คณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อทั้ง 13 คน จะมีตัวแทนองค์กรสื่อ 5 คน ผู้แทนภาครัฐ 4 คน และที่เหลือ 4 คน จะเป็นกลุ่มนักวิชาการ ซึ่งอาจเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย การคุ้มครองผู้บริโภค และนักสิทธิมนุษยชน
เหตุที่ต้องมีผู้แทนจากภาครัฐก็เพื่อทำหน้าที่ประสานงานกับรัฐบาล เช่น ปลัดกระทรวงการคลัง จะช่วยดูแลงบประมาณ การเงิน ปลัดสำนักนายกฯ คอยช่วยประสานงานกับรัฐบาล ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ จะทำหน้าที่ประสานงานกับต่างประเทศ รวมถึงดูการใช้สื่ออินเทอร์เน็ต และปลัดกระทรวงวัฒนธรรมจะดูแลเรื่อง พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ จากนั้นให้สภาวิชาชีพที่มีความเชี่ยวชาญดำเนินงานต่อ
“ถ้าไม่มีตัวแทนภาครัฐทาง กมธ.สื่อเป็นห่วงเรื่องการยึดโยงสนับสนุนจากภาครัฐ เพราะการพัฒนาแม้แต่ด้านการท่องเที่ยวเอกชนยังต้องเดินไปพร้อมกับภาครัฐ และจากนั้นหากเรื่องอะไรที่รัฐมองว่าเอกชนสามารถเดินต่อไปได้ จะไม่เข้าไปยุ่ง” พล.อ.อ.คณิต ตอบคำถามถึงข้อสงสัยเหตุใดต้องมี 4 ปลัดกระทรวงจากภาครัฐร่วมเป็นคณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อ
พล.อ.อ.คณิต บอกว่า ในร่างกฎหมายฉบับนี้ จะมีงบสนับสนุนให้กับสภาวิชาชีพสื่อ โดยนำเงินมาจากกระทรวงการคลังหรือภาษีบาปจำนวน 50-150 ล้านบาททุกปี ไม่ต่างจากแหล่งเงินของไทยพีบีเอส ส่วนที่เหลือจะมาจากงบประมาณบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอื่นๆ เหตุที่ภาครัฐต้องสนับสนุนเพราะจะได้เข้าไปช่วยดูในเรื่องการจัดหาสถานที่อาจใช้พื้นที่ของหน่วยงาน สังกัดกระทรวงการคลัง ดำเนินการก่อสร้างอาคารต่างๆ ไม่มีเจตนาที่ภาครัฐจะเข้าไปแทรกแซง
เมื่อแย้งไปว่า การที่ตัวแทนภาครัฐเข้ามา จะทำให้การทำงานของสื่อไม่ กล้าตรวจสอบ 4 ปลัดกระทรวงหรือไม่เพราะคณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อยังมีอำนาจเพิกถอนใบอนุญาตสื่อมวลชนได้ด้วย พล.อ.อ.คณิต กล่าวว่า เรื่องนี้คิดว่าองค์กรสื่อกลัวไปเอง
“ขออย่าให้สื่อกลัว เรื่องใบประกอบวิชาชีพ สื่อมวลชนนั้นไม่มีอะไร เพียงแต่เมื่อสื่อมวลชนไปติดต่อขอขึ้นทะเบียนหรือต่ออายุ ขั้นตอนมีเพียงอบรมปฐมนิเทศเรื่องที่เกี่ยวกับสิทธิส่วนบุคคล เพื่อไม่ให้ไปละเมิดสิทธิผู้อื่น เรื่องการแต่งกายและการใช้ภาษา เมื่ออบรมตามหลักสูตรก็จะได้รับใบอนุญาตเพื่อให้สื่อมวลชนมีมาตรฐานเดียวกัน”
ระหว่างสนทนา พล.อ.อ.คณิต ย้อนทีมงานว่า ให้ช่วยบอกแบบไหนจะทำให้สื่อไม่กล้าตรวจสอบรัฐบาล ทีมงานจึงยกตัวอย่างว่า เช่น ปัจจุบันการทำงานของกรมประชาสัมพันธ์ก็ไม่เสนอข่าวตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ถ้ามีคณะกรรมการวิชาชีพสื่อที่มาจากผู้แทนภาครัฐ จะไม่ยิ่งหนักกว่านี้หรือ พล.อ.อ.คณิต ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง แต่เชื่อว่าการตรวจสอบยังมีช่องทางอื่นอีก เพราะปัจจุบันสื่อออนไลน์เกิดขึ้นมาก ก็ไม่ต้องกลัวจะไม่มีใครตรวจสอบรัฐบาล และส่วนตัวเชื่อว่าปลัดกระทรวงที่ีเข้ามาทำหน้าที่นี้มีศักดิ์ศรีและจุดยืน คงไม่กล้าทำเรื่องไม่ดี
“ปลัดทุกคนก็คงเหมือนกับผมตอนรับราชการทหารอากาศ ตอนนี้ผมติดยศพลอากาศเอก ในอดีตดูแลเครื่องบินและรถหลวงมากมายต้องใช้น้ำมัน แต่ไม่เคยนำน้ำมันของทางราชการมาเติมรถส่วนตัวแม้แต่หยดเดียว เบี้ยประชุมก็ไม่เคยนำเข้ากระเป๋า ไปประชุมต่างจังหวัดแต่ละครั้งค่าบรรยายไม่เคยรับ ปลัดกระทรวงฯ ก็คงเป็นเช่นกัน
“อย่าไปกังวลกันมาก นักการเมืองมาแทรกแซง นักการเมืองในอดีตไม่ได้เรื่อง ผมยอมรับ แต่ปัจจุบันนักการเมืองจะดีขึ้นเรื่อยๆ ก็คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เขาออกกฎระเบียบเข้มงวดมากขึ้น ตรงนี้จะทำให้นักการเมืองระวังตัวหากคิดที่จะทำอะไร” พล.อ.อ.คณิต ชี้แจง
พล.อ.อ.คณิต ยังมองด้วยว่า การทำงานของสื่อปัจจุบันควรระมัดระวังให้มากโดยเฉพาะเรื่องที่กระทบประเทศชาติ และคิดว่ารัฐบาลควรที่จะขอไม่ให้สื่อลงข่าวบางประเภทได้ถ้ากระทบต่อความมั่นคงของชาติและภาพลักษณ์ของประเทศ เหมือนกรณีผู้หญิงแต่งกระโจมอกอาบน้ำกลางถนน หรือกรณีที่รัฐบาลขอไม่ให้สื่อทำเนียบรัฐบาลตั้งฉายารัฐบาลปีที่ผ่านมา
“เรื่องเหล่านี้น่าขอกันได้เพื่อประเทศชาติ มิฉะนั้นจะทำให้ประเทศเสียหายมาก”
วกมาถามเรื่องอายุของใบประกอบวิชาชีพสื่อที่ปรากฏในร่างกฎหมายนี้ พล.อ.อ.คณิต กล่าวว่า เงื่อนไขก็อาจออกให้ทุก 5-10 ปี แต่ถ้าสื่อไม่มีประวัติด่างพร้อยก็อาจได้รับสิทธิต่อใบประกอบวิชาชีพแบบตลอดชีวิต แต่เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับทางสภาวิชาชีพจะเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์ เช่นเดียวกับทุกอาชีพอื่นที่ต้องมีใบอนุญาต เช่น แพทย์ ทนายความ พยาบาล หรือแม้แต่วินมอเตอร์ไซค์
“สาเหตุที่สื่อต้องมีใบอนุญาต เพื่อที่เราจะได้รู้รายละเอียดของผู้ที่ทำอาชีพสื่อมวลชนว่า พักอยู่ที่ใด อายุเท่าไหร่ จะได้มีฐานข้อมูลสามารถตรวจสอบได้ และไว้รับสิทธิประโยชน์ช่วยเหลือต่างๆ รวมถึงทางสภาวิชาชีพจะได้เข้าไปช่วยเหลือหากการทำหน้าที่เกิดเป็นคดีความขึ้นมา”
พล.อ.อ.คณิต กล่าวว่า ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อที่ต้องมีใบประกอบวิชาชีพ คือสื่อที่ได้รับผลตอบแทนจากต้นสังกัด อาทิ นักข่าว ช่างภาพ ผู้ประกาศข่าว คอลัมนิสต์ ผู้ที่ทำข่าวในเว็บไซต์ ส่งข่าวสารในออนไลน์เพราะยุคนี้มีการสื่อสารบนสื่อโซเชียลมากขึ้น
ถามว่า ที่ผ่านมาสื่ออยู่ภายใต้กฎหมายหลายฉบับ โดยเฉพาะคำสั่งของ คสช. ที่คุมสื่อเข้มงวดอยู่แล้ว เหตุใดต้องออกกฎหมายมาคุมสื่อซ้ำอีก ประธาน กมธ.กล่าวว่า แม้ทุกวันนี้จะมีกฎหมายหลายฉบับในการรับฟ้องจริง แต่บางครั้งก็เกิดปัญหาความล่าช้าในการดำเนินคดี ดังนั้นถ้ามีสภาวิชาชีพสื่อเป็นหน่วยงานกำกับดูแลควบคุมสื่อโดยตรง และนำปลัด 4 กระทรวงเข้ามาช่วยสนับสนุนยึดโยงการทำงาน ก็เชื่อว่าร่างกฎหมายนี้จะสามารถแก้ปัญหาสื่อเลือกข้างได้ เพราะภายใต้โครงสร้างสภาวิชาชีพ จะมีคณะกรรมการจริยธรรมอีกคณะคอยดูแล
“ร่างกฎหมายนี้ผ่านการหารือและการทำประชาพิจารณ์จากผู้เกี่ยวข้อง อาทิ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เชื่อว่าการตั้งองค์กรหรือสภาวิชาชีพใด ต้องมีทั้งตัวแทนจากรัฐและเอกชนร่วมด้วย เพราะจะทำให้มีประโยชน์มากกว่ากรรมการจากวงการสื่อด้วยกันเท่านั้น รวมถึงกฎหมายนี้จะช่วยส่งเสริมสวัสดิภาพและสวัสดิการให้แก่สื่อมวลชน กรณีที่ไม่มีโฆษณา”
ก่อนจบบทสนทนาทีมงานถามว่า มั่นใจแค่ไหนว่ารัฐบาลจะสนับสนุนร่างกฎหมายฉบับนี้ พล.อ.อ.คณิต กล่าวว่า กฎหมายนี้ประชาชนเอาด้วยแน่นอน เพราะไม่มีอะไรซ่อนเร้น กติกาทุกอย่างออกโดยสภาวิชาชีพ และรัฐบาลก็สนับสนุน
“ระวังหวยออกนะ เลข 2 ตัว มาตรา 44 ก็เป็นได้” พล.อ.อ.คณิต กล่าวก่อนขอตัวไปประชุม


