2559 จารึกสถิติ ‘โลก’ ร้อนที่สุด ‘ไทย’ ติด 1 ใน 10 ประเทศเสี่ยง
หากอ้างอิงตามข้อมูลเท่าที่มนุษยชาติมีการบันทึกไว้ เชื่อหรือไม่ว่าพวกเราต่างดำรงอยู่ในยุคที่อุณหภูมิผืนโลก “ร้อนมากที่สุด”
โดย...ธนวัฒน์ เพ็ชรล่อเหลียน
หากอ้างอิงตามข้อมูลเท่าที่มนุษยชาติมีการบันทึกไว้ เชื่อหรือไม่ว่าพวกเราต่างดำรงอยู่ในยุคที่อุณหภูมิผืนโลก “ร้อนมากที่สุด”
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการเปิดเผยสถานการณ์อันน่าหวาดวิตกจากหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือระดับโลก พบว่าอุณหภูมิเฉลี่ยพื้นผิวโลกปี 2559 กำลังทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ชนิดที่ไม่มีทีท่าว่าจะมองเห็นจุดสิ้นสุด
องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (ดับเบิ้ลยูเอ็มโอ) ระบุผ่านรายงานฉบับล่าสุดว่า ขณะนี้อุณหภูมิเฉลี่ยพื้นผิวโลกพุ่งทะยานไปแตะ 14.83 องศาเซลเซียส มากกว่าปีที่ผ่านมาคือปี 2558 ถึง 0.07 องศาเซลเซียส
ตัวเลข 14.83 องศาเซลเซียส เป็นการ “ทุบสถิติ” อุณหภูมิเฉลี่ยพื้นผิวโลกครั้งที่ 3 ติดต่อกัน ในรอบ 3 ปี
มากไปกว่านั้นก็คือ หากย้อนกลับไปยังปี 2423 หรือประมาณ 136 ปีที่แล้ว ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มวลมนุษย์เริ่มเก็บสถิติอุณหภูมิโลก เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันจะพบว่าปี 2559 เป็นปีที่อุณหภูมิเฉลี่ยสูงที่สุดอีกเช่นกัน
นั่นหมายความว่า เราต่างกำลังใช้ชีวิตในช่วงเวลาที่ “โลกร้อนที่สุด”
สำหรับสาเหตุหลักที่ทำให้ผืนดินร้อนระอุ หน่วยงานระดับนานาชาติอย่าง สำนักงานบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐ (นาซ่า) หรือแม้แต่ องค์การบริหารสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐ (โนอา) รวมไปถึงเจ้าของรายงานอันชวนหวาดวิตกอย่าง “ดับเบิ้ลยูเอ็มโอ” ต่างลงความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน นั่นก็คือ ก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์
พูดกันให้ชัดก็คือ “มนุษย์” คือต้นเหตุของวิกฤตการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
แน่นอนว่า ปัญหาโลกร้อนเป็นปัญหาระดับโลก หนทางการแก้ไขย่อมต้องอาศัยความร่วมมือในระดับนานาชาติ และในฐานะที่เป็นหน่วยหนึ่งของโลกใบนี้ “ประเทศไทย” จึงไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบร่วมเหล่านี้ไปได้
น้อยคนจะรู้ว่าประเทศไทยเป็น 1 ใน 10 ประเทศ ที่จะได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนมากที่สุด โดยองค์กรเยอรมันวอตช์ได้จัดลำดับประเทศที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาว พบว่า “ประเทศไทย” อยู่ในลำดับที่ 10
นักวิทยาศาสตร์หลายรายประเมินว่า ระยะเวลาอีกไม่เกิน 20 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะเผชิญกับปัญหาหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นปริมาณน้ำฝนรายปีเฉลี่ยและจำนวนวันฝนตกในช่วงฤดูฝนจะเพิ่มมากขึ้น มากไปกว่านั้นก็คือปริมาณฝนที่มากขึ้นนั้นจะมีช่วงการกระจายตัวไม่มาก
นั่นทำให้มีแนวโน้มว่าประเทศไทยจะมีพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดภัยแล้งเป็นวงกว้าง ขณะเดียวกันก็มีพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยสูงขึ้นมหาศาลเช่นกัน
เหล่านั้นคือ ข้อมูลเบื้องต้นสำหรับประกอบการวางนโยบาย ทั้งมิติเชิงเศรษฐกิจ เกษตรกรรม การตั้งถิ่นฐาน รวมทั้งนโยบายการพัฒนาต่างๆ ในอนาคต
รวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ให้ข้อมูลผ่านเวทีรับฟังความคิดเห็นต่อ (ร่าง) แผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศภายหลังปี 2563 ซึ่งเป็นการดำเนินการภายใต้กรอบ “ข้อตกลงปารีส” (Paris Agreement) ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2559 โดยเสนอเป้าหมายลดก๊าซลงให้ได้ 20-25% ภายในปี 2573 ด้วยตัวเอง
“จากสถิติการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเฉลี่ยรายสาขาปี ค.ศ. 2000-2011 ของประเทศไทย พบว่าภาคพลังงานและขนส่งมีสัดส่วนการปล่อยก๊าซมากที่สุดคือ 70.79% โดยเราตั้งเป้าไว้ว่า ภายในปี 2563 จะต้องลดการปล่อยในภาคนี้ให้ได้ 7-20% จากข้อมูลไม่เป็นทางการล่าสุดปี 2017 เราลดได้ประมาณ 10-13% แล้ว คาดว่าในปี 2563 จะลดลงได้ถึง 20%” เลขาธิการ สผ.ระบุ
ประเทศไทยวางแผนไว้ว่า ภายในปี 2573 เราจะสามารถลดก๊าซเรือนกระจกลงได้อย่างน้อย 20.8% จากการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย จากทั้งมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า การเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทน การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ การจัดการขยะและน้ำเสีย รวมถึงการปรับเปลี่ยนสารทดแทนปูนซีเมนต์และสารทำความเย็น
เหล่านี้คือความพยายามของประเทศไทย นอกจากจะช่วยโลกแล้ว ยังเป็นการลดความเสี่ยงให้กับประเทศของเราเองด้วย


