เรียนไป เที่ยวไป สุขใจดินแดนโอเชียเนีย
ในโลกที่เปิดกว้างไร้พรมแดน ความรู้ความสามารถทางภาษาโดยเฉพาะภาษาสากลอย่างภาษาอังกฤษ
โดย...ทีมงาน โลก 360 องศา facebook : โลก 360 องศา youtube : โลก 360 องศา
ในโลกที่เปิดกว้างไร้พรมแดน ความรู้ความสามารถทางภาษาโดยเฉพาะภาษาสากลอย่างภาษาอังกฤษ ถือเป็นตัวสร้างแต้มต่อที่สำคัญ ทั้งช่วยในการแสวงหาเพื่อเข้าถึงความรู้ ช่วยในการติดต่อสื่อสารกับโลก การเจรจาการค้าการลงทุน สร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจ แม้กระทั่งเพื่อความบันเทิง ติดตามเทรนด์ หรือแฟชั่นใหม่ๆ ของโลก
แม้ทุกวันนี้เราจะสามารถติดต่อ หรือหาความรู้ทางอินเทอร์เน็ตกันได้อย่างเปิดกว้างแทบจะไร้ขีดจำกัด แต่คนไทยจำนวนมากก็ยังนิยมส่งลูกหลานไปเรียนในต่างประเทศ ก็เพื่อหวังที่จะให้ปัจจัยแวดล้อมเป็นตัวช่วยให้ได้ทักษะทางภาษาโดยเฉพาะการพูด การติดต่อสื่อสาร ติดตัวกลับมานอกเหนือจากการอ่าน หรือเขียน
สมัยก่อนยุโรป อเมริกา จะเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ เสมอ แต่ระยะหลังมานี่ซีกโลกใต้ในดินแดนโอเชียเนีย (Oceania) ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้เรียกดินแดนหมู่เกาะต่างๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิก ประกอบด้วยหลายร้อยเกาะ ที่โดดเด่นที่สุด คือ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ กลับเป็นที่นิยมสำหรับการเรียนรู้และฝึกทักษะทางภาษาอังกฤษกันอย่างมาก
หากจะให้เปรียบเทียบระหว่างออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ว่าที่ไหนดีกว่ากันที่จะส่งลูกหลานไปฝึกภาษาคงจะยากที่จะหาคำตอบ เพราะต่างก็เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วและเป็นประเทศในเครือจักรภพที่ใช้ภาษาอังกฤษ รวมทั้งมีสถาบันการศึกษาและโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกด้วยกันทั้งคู่ ความแตกต่างของทั้งสองประเทศนี้คงเป็นเรื่องของบรรยากาศ สำหรับคนที่ชอบธรรมชาติ ผู้คนไม่วุ่นวาย เงียบสงบ ก็ต้องเป็นนิวซีแลนด์ แต่ถ้าชอบความมีชีวิตชีวา ความหลากหลาย มีแนวศิลปะ ออสเตรเลียน่าจะเป็นตัวเลือกที่ถูกใจมากกว่า
เมื่อพูดถึงธรรมชาติในนิวซีแลนด์ จะคิดถึงทิวเขาทอดยาวสลับสูงต่ำ ต้นไม้หลากสีสัน ท้องทุ่งกว้างเขียวขจีที่เต็มไปด้วยฝูงแกะกับอากาศอันสุดแสนจะบริสุทธิ์ เป็นดินแดนในฝันของคนรักธรรมชาติอย่างแท้จริง และด้วยความงดงามของธรรมชาติของนิวซีแลนด์นี่เอง จึงเป็นสถานที่ที่ถูกเลือกสำหรับถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องดังหลายเรื่อง เช่น The Lord Of The Rings, The Hobbit, The Chronicles of Narnia และ The Last Samurai เป็นต้น
ขณะเดียวกันวิถีชีวิตของผู้คนที่นิวซีแลนด์ก็ดูจะสอดคล้องกลมกลืนไปกับธรรมชาติกับชีวิตแบบ Slow Life สบายๆ ไม่เคร่งเครียด เหมาะกับคนที่อยากจะไปจิบกาแฟยามเช้า เปิดหน้าต่างห้องนอนชมทิวเขา ต้นไม้ หินผา ลำธาร หรือไปทิ้งตัวลงนอนบนทุ่งหญ้าฟังเสียงลมอันแผ่วเบาหยอกล้อกับดอกหญ้าที่ไหวเอนไปมา
ชาวนิวซีแลนด์ หรือบางทีจะเรียกว่าชาวกีวี่ (Kiwi) นั้น ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนใจดี อบอุ่น และมีน้ำใจ แม้กระทั่งในเมืองหลวงของนิวซีแลนด์อย่างเวลลิงตัน ทุกคนที่ไปเยือนจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่รู้สึกเครียด ไม่รู้สึกกดดันเท่าการไปนิวยอร์ก หรือลอนดอน ชาวกีวี่มีความเชื่อในเรื่องการใช้ชีวิตอย่างสมดุล คือนอกจากจะต้องทำงานให้ดีมีคุณภาพแล้ว การจัดสรรเวลาให้ครอบครัวและเพื่อนฝูงยังถือเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตที่ต้องทำให้ได้ดีไม่แพ้กัน
ชนเผ่าดั้งเดิมของนิวซีแลนด์ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ คือ ชาวเมารี ซึ่งได้อพยพมาจากหมู่เกาะโพลีนีเซียมาอาศัยอยู่ในนิวซีแลนด์นับพันปี โดยเรียกประเทศที่พวกเขาอาศัยอยู่ว่าเอาเตอารัว (Aotearoa) มีความหมายว่า “ดินแดนแห่งเมฆยาวสีขาว” ชาวเมารีได้ขึ้นชื่อว่าเป็นชาตินักรบและทุกครั้งที่ออกรบจะมีวัฒนธรรมอย่างหนึ่งคือการเต้นฮักก้า (Haka) เพื่อปลุกใจ ซึ่งทุกวันนี้ทีมรักบี้ของนิวซีแลนด์ที่เรียกว่าทีมออลแบล็กส์ (All Blacks) เป็นทีมรักบี้อันดับต้นๆ ของโลกก็จะเต้นฮักก้า เพื่อปลุกใจก่อนการแข่งขันทุกครั้ง จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของทีมที่ผู้ชมทั่วโลกต่างรอชมก่อนการแข่งขันทุกครั้งไป
อีกปัจจัยที่ทำให้ผู้คนจากทั่วโลกต่างเดินทางไปเยือนดินแดนซีกโลกใต้แห่งนี้อย่างไม่ขาดสาย คือเรื่องของความปลอดภัย โดยมีสถิติอาชญากรรมต่ำกว่าเมืองใหญ่ๆ ที่อื่นของโลก และยังได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสันติภาพสูงและมีการคอร์รัปชั่นต่ำ
หลังจากอิ่มเอมกับความสงบ ดื่มด่ำกับธรรมชาติในนิวซีแลนด์กันไปแล้ว ลองมาดูความมีสีสันของประเทศออสเตรเลียประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลกกันบ้าง ออสเตรเลียประกอบด้วยแผ่นดินหลักของทวีป เกาะแทสมาเนีย และเกาะอื่นๆ ในมหาสมุทรอินเดียแปซิฟิกและมหาสมุทรแอนตาร์กติก จึงเรียกรวมกันว่าเครือรัฐออสเตรเลีย หรือ Commonwealth of Australia หลายคนอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าซิดนีย์คือเมืองหลวงของออสเตรเลีย แต่แท้ที่จริงแล้วคือกรุงแคนเบอร์ราเป็นเมืองที่ไม่ติดทะเล ตั้งอยู่ระหว่างเมืองซิดนีย์และเมลเบิร์น
ข้อดีอย่างหนึ่งของออสเตรเลียที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกไปศึกษาภาษาอังกฤษก็คือมีโอกาสหางานทำได้ง่ายกว่านิวซีแลนด์ และเป็น Multicultural Society คือเป็นสังคมที่มีวัฒนธรรมที่หลากหลาย ทำให้คนที่ไปจากเอเชียไม่รู้สึกแปลกแยกมากนัก โดยเฉพาะที่ซิดนีย์แทบจะเป็นเมืองของชาวเอเชีย เพราะเต็มไปด้วยคนไทย จีน และเวียดนาม ดังนั้นคนที่อยากมาเรียน หรือมาอยู่ที่นี่จะหมดห่วงเรื่องอาหารการกิน หรือข้าวของเครื่องใช้ เพราะหาซื้อได้ง่ายมาก และที่จะพลาดไม่ได้คือการไปสัมผัสสีสันของเมืองเมลเบิร์น
ที่นี่จะมี Tram หรือรถราง เป็นบริการขนส่งสาธารณะในเมือง ที่นอกจากจะช่วยลดมลพิษ จากยานยนต์และแก้ปัญหารถติดในเมืองได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังถือว่าเป็นหนึ่งจนกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของเมลเบิร์น
นอกจากนี้ เมลเบิร์นยังเป็นสวรรค์ของผู้ที่ชื่นชอบกาแฟทั้งหลายด้วย เพราะที่นี่มีวัฒนธรรมการเข้าร้านกาแฟที่จริงจังมาก ดังนั้นจึงมีกาแฟดีๆ ให้เลือกดื่มกันได้แทบทุกที่ในเมือง ส่วนผักและผลไม้สดๆ ก็มีตลอดทั้งปีเช่นกัน ร้านอาหารและแหล่งช็อปปิ้งในเมลเบิร์นนั้นค่อนข้างหลากหลายมาก มีตั้งแต่แบรนด์ดังไปจนถึงสินค้าราคาประหยัดที่คนในชุมชนนำสินค้ามาวางขายทั่วไป เสน่ห์ของเมลเบิร์นคือการผสมผสานความแตกต่างของวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ทั้งสถาปัตยกรรม งานศิลปะ และวิถีชีวิตผู้คน
คุณผู้อ่านสามารถติดตามรับชมเรื่องราวเพิ่มเติมได้ในรายการโลก 360 องศา ได้ทาง ททบ.5 ทุกวันเสาร์